สถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศไทยช่วงนี้มีผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาภายในหลายด้าน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญในต่างประเทศที่ส่งผลต่อประเทศไทย ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง
อาจารย์สุภัค หมื่นนิกร ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้ง Food Franchise Institute (FFI) และ CEO ของ Siam Steak Group ทายาทรุ่นที่ 2 เจ้าของแบรนด์ Siam Steak ไส้กรอกเยอรมันโฮมเมด เปิดเผยข้อมูลกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ต่างๆ นี้เศรษฐกิจของประเทศมันก็ไม่ดีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น มันทำให้ต้องแยกพิจารณาในหลายๆ ภาคส่วน
โดยแบ่งสถานการณ์ออกเป็น 2 ภาคหลักๆ คือ ภาคของความเชื่อมั่นและภาคของจริยธรรม โดยกล่าวว่า ภาคแรกที่ต้องมองก็คือเรื่องของความเชื่อมั่น และจริยธรรม ซึ่งในกรณีนี้ ไม่มีใครที่ทำกันตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น เพราะฉะนั้นในแง่ของต่างชาติที่จะมาลงทุนในประเทศไทย เขาก็ไม่เชื่อมั่นว่าจะลงทุน ช่วงนี้มันเป็นสถานการณ์ที่เฝ้าระวังเรื่องของสงครามโลก
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชามันก็ดีมาตลอด 20 ปี แต่พอเกิดสถานการณ์นี้มันทำให้ต่างประเทศเริ่มจับตามอง เพราะหลายประเทศ เช่น จีน รัสเซีย ฝรั่งเศส และสหรัฐฯ เริ่มพูดชัดเจนว่าถ้าใครเป็นศัตรูกับประเทศไทยก็เหมือนเป็นศัตรูกับฉันด้วย
“ตอนนี้ฮุนเซนเองเริ่มถูกมองเป็นตัวร้ายของโลกในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งทำให้ประเทศไทยเกิดความไม่มั่นคงในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อนและการลงทุนระหว่างประเทศที่ไม่โปร่งใส ซึ่งจะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศลดลง”
ตอนนี้เรากำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งจากภายในและภายนอก ซึ่งมันทำให้เกิดคำถามในใจของนักลงทุนเกี่ยวกับการลงทุนในไทยว่า หากมาลงทุนที่ไทยจะเจอกับอะไรบ้าง ถ้าเราให้ความสำคัญกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เราจะเห็นว่า ความเชื่อมั่นจากต่างชาติในประเทศไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับการปรับตัวของภาคเอกชนในไทย แน่นอนว่าทุกคนรักชาติและอยากให้ประเทศเติบโต แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ภาคเอกชนเองก็ไม่มั่นใจในการลงทุนในประเทศในช่วงนี้ การระมัดระวังการใช้จ่ายและการลงทุนในช่วงนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก รวมถึงประชาชนด้วย เพราะไม่แน่ใจว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
ในส่วนของรัฐบาลชุดนี้ ต้องอธิบายว่า “อึมครึม” แต่จะให้ถอยออกมาก็ไม่ได้ ก็ต้องทำหน้าที่ต่อไป เช่น การอนุมัติงบประมาณปี 69 เพื่อให้ภาคเศรษฐกิจสามารถดำเนินการได้ แต่นักลงทุนต่างชาติและภาคเอกชนก็มีความกังวลเกี่ยวกับความโปร่งใสในการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการสร้างความมั่นใจจากภาครัฐให้มากขึ้นเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
ในระยะสั้น มองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกไม่สามารถคาดการณ์ได้แน่นอน เพราะทุกอย่างยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอลที่อาจส่งผลต่อความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลก รวมถึงการประกาศของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีผลกระทบต่อประเทศต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในตอนนี้ยังยากที่จะประเมินระยะยาว แต่คาดว่าในปีหน้าจะเห็นความชัดเจนขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศจะเริ่มเข้าสู่ช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ ซึ่งอาจส่งผลต่อการดำเนินงานของรัฐบาลและภาคธุรกิจ
ส่วนสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา แม้ไทยจะมีความได้เปรียบในด้านกำลังทหารและอาวุธ แต่การที่ฝ่ายตรงข้ามยังคงมีความพยายามในการใช้วิธีการต่างๆ เพื่อกดดันและขู่ให้เกิดความตึงเครียดในพื้นที่นั้นๆ ก็ยังเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถมองข้ามได้
การตัดสินใจของรัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อสถานการณ์การเมืองในประเทศ แม้จะมีการตัดสินใจที่ดูเหมือนจะไม่มีทิศทางที่ชัดเจน แต่การเปลี่ยนแปลงในส่วนของคณะรัฐมนตรีและการเข้ามาของกุนซือใหม่ในช่วงนี้อาจช่วยให้รัฐบาลสามารถปรับตัวต่อสถานการณ์ได้ดีขึ้น
สำหรับภาคเอกชน โดยเฉพาะในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารและการบริการ การปรับตัวสำคัญคือการประเมินความเสี่ยงและเตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว หากสถานการณ์การเมืองไม่คลี่คลายและเกิดความตึงเครียดที่ต่อเนื่องในระดับโลก ภาคธุรกิจจำเป็นต้องมีการวางแผนรับมือทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะในเรื่องของการปรับกลยุทธ์และการบริหารความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ
แม้จะมีสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่ผู้ประกอบการต้องกลับมามี “mindset” หรือทัศนคติในการมองสถานการณ์ในลักษณะที่ไม่ทำให้ท้อถอย เมื่อเกิดภาวะวิกฤติของประเทศหรือโลก ผู้ประกอบการต้องมองหาโอกาสใหม่ๆ และไม่ยอมแพ้ในสถานการณ์ที่ท้าทาย
นักธุรกิจไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน หรือมีประสบการณ์มากน้อยแค่ไหน ก็จะต้องคำนึงถึงการรับมือกับวิกฤติทั้งในระดับประเทศและระดับโลกที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ หรือสถานการณ์ทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ โดยหลักการนี้ไม่เพียงแค่เกิดขึ้นในภาวะวิกฤติแบบปัจจุบัน แต่ยังเป็นทัศนคติที่ต้องมีตลอดไป
แนวคิดของผู้ประกอบการในสถานการณ์เหล่านี้คือ "ห้ามถอย" และ "ต้องหาทางใหม่" ไม่ว่าจะเป็นการผ่านสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจเช่นในปี 2540 หรือวิกฤติโควิด-19 หรือแม้กระทั่งสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต สิ่งสำคัญคือการยืนหยัดและหาทางใหม่ในการปรับตัว
เมื่อมีกลยุทธ์และทัศนคติเช่นนี้แล้ว การดำเนินการต่อไปคือการค้นหาโอกาสใหม่ๆ ที่จะสามารถใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยที่ผู้ประกอบการต้องรู้ว่าโอกาสนั้นอยู่ที่ไหนและต้องสามารถรุกเข้าไปเพื่อใช้โอกาสให้เกิดประโยชน์