วันนี้ (24 มิ.ย. 68) ศาลรัฐธรรมนูญไทยในฐานะเจ้าภาพ ได้จัดการประชุมคณะกรรมการสมาคมศาลรัฐธรรมนูญและสถาบันเทียบเท่าแห่งเอเชีย (Association of Asian Constitutional Courts and Equivalent Institutions: AACC) โดยมีการบรรยายพิเศษหัวข้อ “The Courts and the Protection of Human Rights” เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศสมาชิก ซึ่งปัจจุบันมีถึง 21 ประเทศ
นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และในฐานะประธาน AACC เป็นประธานเปิดงาน และมอบของที่ระลึกแก่ผู้เข้าร่วม ขณะที่ประเทศสมาชิก อาทิ สาธารณรัฐเกาหลี ทูร์เคีย และอุซเบกิสถาน เข้าร่วมแบบพบหน้า ขณะที่อีกหลายประเทศร่วมประชุมผ่านระบบออนไลน์
ศาลรธน.ไทยใน 3 ทศวรรษ
นายจิรนิติ หะวานนท์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวบรรยายพิเศษหัวข้อ "ศาลรัฐธรรมนูญไทยใน 3 ทศวรรษ และความท้าทายในทศวรรษหน้า" โดยย้อนมองบทบาทศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่จัดตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่มีหน้าที่หลักคือวินิจฉัยกฎหมายที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และเริ่มมีบทบาทในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ เช่น คำวินิจฉัยที่ 21/2546 ที่ตัดสินว่าการให้ภรรยาใช้ชื่อสกุลสามีโดยบังคับตาม พ.ร.บ.ชื่อบุคคล ปี 2505 ขัดต่อหลักความเสมอภาคระหว่างเพศ
เข้าสู่ช่วงรัฐธรรมนูญปี 2550 ศาลรัฐธรรมนูญเผชิญความท้าทายจากปัญหาทางการเมืองหลายกรณี อาทิ คำวินิจฉัยที่ 12-13/2551 ที่ทำให้ นายสมัคร สุนทรเวช สิ้นสุดสถานะนายกฯ เนื่องจากรับรายได้จากการจัดรายการโทรทัศน์, คำวินิจฉัยที่ 9/2557 ที่ตัดสินให้นายกรัฐมนตรีสิ้นสุดหน้าที่จากการโยกย้ายข้าราชการโดยมิชอบ รวมถึงเหตุการณ์ความไม่สงบที่มีการยิงอาวุธ M79 ใส่สำนักงานศาล
บทบาทใหม่ภายใต้รธน. 2560
นายจิรนิติ ระบุว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญขยายจากการพิจารณาตัวบทกฎหมาย ไปสู่การวินิจฉัย “การกระทำของหน่วยงานรัฐ” ด้วย เช่น คำวินิจฉัยที่ 3/2562 ที่ยุบพรรคการเมืองกรณีเสนอชื่อพระบรมวงศานุวงศ์เป็นนายกรัฐมนตรี, คำวินิจฉัยที่ 5/2563 เรื่องพรรคกู้เงินหัวหน้าพรรค และคำวินิจฉัยที่ 20/2563 ที่ตัดสิทธิ ส.ส. ถือหุ้นสื่อ
นอกจากนี้ ยังมีคำวินิจฉัยด้านสิทธิเสรีภาพ เช่น คำวินิจฉัยที่ 4/2563 ที่ชี้ว่ากฎหมายอาญาเรื่องการทำแท้งขัดรัฐธรรมนูญ, คำวินิจฉัยที่ 30/2563 ที่วินิจฉัยว่าคำสั่ง คสช. เรียกบุคคลรายงานตัวขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นคำตัดสินสำคัญครั้งแรกที่ศาลรัฐธรรมนูญไทยวินิจฉัยเกี่ยวกับคำสั่งของคณะรัฐประหาร
รวมถึงคำวินิจฉัยสำคัญในปี 2564 ได้แก่ คำวินิจฉัยที่ 4/2564 ซึ่งวางหลักให้การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องผ่านการทำประชามติ และคำวินิจฉัยที่ 19/2564 ซึ่งมองว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองบางรูปแบบเป็นการเซาะกร่อนระบอบการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ทศวรรษหน้า : ยุค AI-การเมืองแทรกแซง
นายจิรนิติ กล่าวถึง "ทศวรรษที่ 4 ของศาลรัฐธรรมนูญ" ว่าจะเป็นช่วงเวลาท้าทายในการสร้างความเชื่อมั่นจากประชาชน และรักษาความเป็นกลางท่ามกลางความพยายามของการเมือง ที่จะแทรกแซงองค์ประกอบของศาล โดยเฉพาะการพยายามเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหรืออิทธิพลต่อการแต่งตั้งตุลาการ
อีกความท้าทายคือ การรับมือกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยตั้งคำถามว่า หาก AI ซึ่งเป็นระบบของหน่วยงานรัฐ กระทำการที่ละเมิดสิทธิประชาชน จะถือว่าเป็นการกระทำของรัฐหรือไม่ เพราะ AI “คิดเองทำเอง” กำลังเป็นปัญหาทางกฎหมายทั่วโลก
สิทธิของประชาชนกับข้อจำกัด
แม้รัฐธรรมนูญมาตรา 213 จะให้อำนาจประชาชนยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ หากถูกละเมิดสิทธิ แต่ก็ยังมีข้อจำกัด เช่น กรณีที่คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอื่น หรือมีคำพิพากษาเด็ดขาดแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่เข้าไป “รีวิว” คำพิพากษาของศาลอื่น เพราะไทยไม่ได้มีระบบศาลรัฐธรรมนูญเป็น “ซูเปอร์ศาล”
“เราพยายามปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถเป็นศาลที่ย้อนพิจารณาคำตัดสินทุกคดีได้ มิฉะนั้นจะเกิดภาระที่ศาลไม่อาจแบกรับ” นายจิรนิติ กล่าวสรุป
การประชุมครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นเวทีระหว่างประเทศ แต่ยังสะท้อนบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญไทย ที่กำลังเดินเข้าสู่ยุคใหม่ซึ่งต้องรักษาดุลยภาพระหว่างอำนาจตุลาการ เทคโนโลยี และแรงเสียดทานทางการเมือง