บริษัท คิงเพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ปรับทัพใหญ่ หลังแต่งตั้ง “นิตินัย ศิริสมรรถการ” ขึ้นมานั่งตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เพื่อหวังพลิกฟื้นผลประกอบการของบริษัทที่กำลังประสบปัญหาการขาดทุนให้กลับมายืนอยู่ได้อีกครั้ง พร้อมทั้งวางแผนกลยุทธ์รองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต รวมไปถึงการแก้ปมปัญหาค้างค่าเกี่ยวกับสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรี ท่าอากาศยานหลักของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจอย่างกว้างขวาง ณ ขณะนี้
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิงเพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากพ้นตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของ ททท. ก็พักไปนานกว่า 2 ปี ตอนนั้นคิดในใจว่ามีอยู่ 2 ทางเดินที่ต้องเลือก ทางแรก คืออยู่ในหน่วยงานรัฐ ทางที่ 2 คือมาภาคเอกชน โดยมองว่าทางแรกไม่เอาแล้ว จนสุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกว่า ต้องอยู่ภาคเอกชน ซึ่งการมาอยู่ภาคเอกชนก็ต้องปฏิบัติตามกฎมาย คือ จะต้องเว้นวรรคจากบริษัทที่เคยมีผลประโยชน์ต่อเนื่อง 2 ปี
“ผมก็ไปดูว่าผมทำงานบริษัทใดได้บ้าง เมื่อไปดูก่อนหน้านี้ช่วงที่อยู่ ทอท. 8 ปี ว่าเคยมีสัญญาอะไรที่เคยเซ็นกับผู้ประกอบการ ทั้งซื้อหลอดไฟซื้อปูนซื้อเหล็กต่าง ๆ รวมแล้วน่าจะมากกว่าหมื่นสัญญาไม่ต่ำกว่า 5,000 บริษัท จึงต้องตกงานไป 2 ปี ผ่านมาแล้วก็เริ่มหางานเมื่อเดือนช่วงก.พ. 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งได้คุยหลายบริษัท และก็ดูข้อเสนอใครที่ดีก็เลือก และได้มาเป็นซีอีโอของคิงพาวเวอร์ วันที่ 4 มิ.ย.2568 ที่ผ่านมา” นายนิตินัย ระบุ
ส่วนข้อครหาว่ามานั่งที่นี่แล้วมีผลประโยชน์ทับซ้อน (Config of interest) อยากให้มองว่า ตั้งแต่ช่วงทำงานอยู่ ทอท. ก็เกี่ยวโยงกับ 5,000 บริษัท ดังนั้นไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน และที่ผ่านมาก็ว่างเว้นไป 2 ปีตามกฎหมายแล้ว
นายนิตินัย ยอมรับว่า เรื่องที่เกิดขึ้นต้องดูเป็นแบบเคสบายเคส โดยเฉพาะเรื่องของสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรี บริเวณท่าอากาศยานหลักของ ทอท. เพราะที่ผ่านมาไม่ทราบว่าในช่วง 2 ปีมีอะไรเกิดขึ้นกับคิงพาวเวอร์ บ้าง เช่น กรณีของวงเงินค้ำประกัน (Bank Guarantee) ที่วางไว้เป็นหลักประกันตามหลักเกณฑ์ในสัญญาเป็นอย่างไร
“สิ่งที่กําลังจะบอกคือว่า ไม่แน่ใจว่าผมไม่ได้อยู่มา 2 ปี ผมไม่เห็นตัวเลข จึงไม่ทราบว่าปล่อยอะไรอยู่ 2 ปี เบื้องต้นเห็นตัวเลขอยู่ว่า ถ้าติดหนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วถ้าวันดีคืนดีถ้าติดหนี้แล้ว Over Bank Guarantee ใครจะรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นวันนี้ปัญหาไม่ได้เกิดแค่ทางฝั่งคิงพาวเวอร์ ฝั่งเดียว แต่เป็นทั้งสองฝั่ง มันอยู่ที่การยืดเวลามาจนโคม่าทั้งคู่”
สำหรับการส่งหนังสือเพื่อขอหารือแนวทางยกเลิกสัญญาร้านสินค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) 3 ท่าอากาศยานในภูมิภาค ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่นั้น มองว่า กรณีดังกล่าวเปรียบได้กับกรณีคนป่วยที่อยู่ได้เพราะมีออกซิเจน โดยเจตนาของบริษัทคือถามไปที่ ททท.ว่า ช่วยถอดออกซิเจนให้หน่อย เพราะไม่ไหวแล้ว ซึ่งนี่คือสัญญาณที่ส่งไป แต่ก็ได้อธิบายรายละเอียดว่า สามารถช่วยได้เพราะตัวเองมีอาการอะไรบ้าง และมีความหวังว่าจะช่วยรักษาได้
ทั้งนี้ยอมรับว่า ที่ผ่านมาในการยื่นข้อเสนอไปแต่ละครั้ง มักเป็นกรณีของการขอนโยบายเยียวยาช่วยเหลือเป็นหลัก เพื่อให้ททท.พิจารณาแนวทางช่วยเหลือ แต่หนังสือครั้งล่าสุดที่ส่งไป แตกต่างกันเพราะเป็นการแจ้งขอหารือแนวทางยกเลิกสัญญา หากทอท. พิจารณาแล้วเห็นด้วยก็จบ และบริษัทจะไปหาทางดำเนินธุรกิจอื่น ๆ ต่อไป เพราะถ้าปล่อยไปเรื่อย ๆ ต้นทุนที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันจะส่งผลกระทบต่อบริษัทอย่างต่อเนื่องแน่นอน
“ตั้งแต่เข้ามาเริ่มต้นทำงานที่นี่ได้เริ่มอ่านงบการเงินบริษัท และตอนนี้อยู่ในฐานะที่เราจะพูดอะไร เพราะเราเราบอกว่าเราไม่ไหว และขอให้ทอท.ช่วยหน่อย แล้วเราก็จะฟัง ถ้าเงื่อนไขมาแล้วเราทำกําไรไม่ได้เราก็เลิก แต่ถ้าเป็นเงื่อนไขมาแต่เราอยู่ด้วยกันได้ก็เอา ซึ่งตอนนี้คงต้องรอฟังว่า จะทำยังไงให้เราประคองอยู่ต่อกันได้” นายนิตินัย ระบุ
สำหรับเงื่อนไขที่บริษัทต้องการอยากเห็น นายนิตินัย เชื่อว่า มีเงื่อนไขมันมากมาย แต่ก็ต้องรอการพิจารณาก่อนว่าจะออกมาเป็นอย่างไร หรือเงื่อนไขลดลงมากแค่ไหน ก็ต้องรอความชัดเจนก่อน โดยบริษัทอยากเห็นแนวโน้มที่ดีว่าให้การดำเนินธุรกิจอยู่ต่อ
ส่วนรายละเอียดของสัญญาสัมปทานที่ทอท.ทํากับคิงเพาเวอร์ ปัจจุบันนั้น เห็นว่า เดิมทีในช่วงที่มีการกำหนดวงเงินผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายปี (Minimum Guarantee) อยู่ภายใต้ข้อสมมุติฐานต่าง ๆ โดยขอให้ศัพท์เทคนิคที่เรียกว่า พารามิเตอร์ ตัวพารามิเตอร์จะใช้ไปคํานวณ แต่ตอนนี้ไม่มีผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ เพราะว่าสมมติฐานตอนคํานวณวันนั้นมีอะไรผิดพลาด โดยเฉพาะกรณีการเกิดการแพร่ระบาดของโควิด เป็นต้น
“การผิดพลาดดังกล่าวก่อนหน้าในอดีตก็ต้องดูว่าเป็นการผิดพลาดจากฝั่งไหน โดยดูผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำใครสูงกว่ากัน และต้องแก้ให้เกิดความเป็นธรรมภายใต้บริบทที่เปลี่ยนด้วย ซึ่งรายละเอียดในหนังสือของคิงเพาเวอร์ 7 ประเด็น ก็เป็นพารามิเตอร์ต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป และต้องปรับปรุงด้วย” นายนิตินัย ระบุ
อย่างไรก็ตามมองว่าในขั้นตอนต่อจากนี้ เชื่อว่า ทอท. จะพิจารณารายละเอียดในหนังสือของคิงเพาเวอร์ ได้ระบุถึง 7 ประเด็นสำคัญที่กระทบต่อธุรกิจ และน่าจะมีการจ้างที่ปรึกษาเพื่อพิจารณาข้อมูลทั้งหมด
นายนิตินัย ยังเล่าถึงการเข้าไปหารือร่วมกับ ทอท. ล่าสุด ว่า ทอท.ได้เชิญคิงเพาเวอร์ เข้าไปหารือและรับฟังเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ทางบริษัทได้เสนอเข้าไปก่อนหน้านี้ เพื่อขอให้ขยายความรายละเอียดของเงื่อนไขทั้งหมดว่าเป็นอย่างไร โดยไม่ใช่เวทีการเจรจาเรื่องของสัญญา
ส่วนขั้นตอนต่อจากนี้เท่าที่ทราบกระบวนการผู้บริหารแต่ละบอร์ดจะมีการดำเนินงานต่างกัน โดยมีคณะกรรมการกลั่นกรองรับเรื่องก่อน แล้วจึงก็เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการรายได้ จากนั้นจึงเสนอบอร์ดใหญ่ ซี่งก็ได้รับทราบว่าทางทอท.ก็น่าจะตั้งที่ปรึกษาเข้ามาดูเรื่องนี้ และคงอยู่ในระยะเวลาที่กำหนดไว้ 60 วัน
ขณะที่ประเด็นที่มีออกมาก่อนหน้านี้ว่า บริษัทต้องการอยากให้หยุดเรื่องของการค่าเช่าพื้นที่เอาไว้ก่อนนั้น ยอมรับว่า เรื่องของการบริหาร ซึ่งจากการตรวจสอบกระแสเงินสด (Cash flow) ของบริษัทก็เห็นว่าน่ากังวล โดยตัวเลขที่เสนอไปมีเดิมพันเกี่ยวกับการบริหารกระแสเงินสดด้วย และการดำเนินการก็ไม่อยากให้มีผลกระทบต่อพนักงานบริษัท ซึ่งขณะนี้ตัวเลขของหนี้สินบริษัท ยอมรับว่า ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบรายละเอียด เพราะมีอยู่หลายบัญชี
ทั้งนี้ในกรณีที่เกิดการยกเลิกสัญญาแล้ว คิง เพาเวอร์ จะไปดำเนินธุรกิจอะไรต่อ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มองว่า จะต้องมองธุรกิจให้ชัดว่าเป็นอย่างไร คือ ถ้าเป็นขาลงต่อไปก็เป็นขาขึ้น แต่ถ้าการขาลงรอบนี้ เป็น Disrupt หรือการล่มสลาย จะวิกฤตแน่นอน เพราะช่วงต่อไปมีความหมายว่า เป็นการหายสาบสูญไปจากธุรกิจ
“การทำธุรกิจจะแตกต่างกัน ถ้าธุรกิจที่เป็นขาขึ้นที่เป็น Cycle เราก็มีวิธีการอัดทรัพยากรการขาดแคลนเข้าไป แต่ธุรกิจขาลง คือการเอาตัวเองออกจากอุตสาหกรรมนั้น คําถามตอนนี้เงื่อนไขการดำเนินธุรกิจปัจจุบันมันเป็นเงื่อนไขของ Disrupt หรือ Cycle โดยเงื่อนไขวันที่เสนอไป ทอท. ถือเป็นเงื่อนไขของการล่มสลายของทั้งคู่ เราเลยรอฟังว่าถ้ามันไปไหว เดี๋ยวแผนธุรกิจเรามีที่จะฟื้นฟูไปด้วยกัน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ระบุ
สำหรับแผนธุรกิจก็มาดูว่า การล่มสลายเนี่ยมันเกิดจากอะไรบ้างแล้วก็วางแผนรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น โดยทุกธุรกิจที่เจอปัจจัยล่มสลาย เช่น การเกิดโควิด ก็ต้องมีการปรับโครงสร้าง โดยสิ่งที่เราต้องดูคือตอนนี้คือการเข้าไปดูสภาพคล่องของบริษัททั้งหมดเป็นอย่างไร โครงสร้างพนักงานเป็นอย่างไร เงื่อนไข Disruption คืออะไร แล้วค่อย ๆ อุดตรงนี้ก่อน
“แผนธุรกิจต่อจากนี้คือเราจะไม่เป็นผู้ตามตลาด เพราะ Next Move ไม่ได้วัดกันที่ความเหนือชั้นในการทำรูปแบบเดิม ๆ เช่น การนำเสนอภาพวีดีโอต้องละเอียดแข่งกันให้มากที่สุด แต่ความสำเร็จคือการอ่านโลกให้ขาด เพราะโลกเปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว ครั้งนี้ถ้าไม่มี Disrupt ก็เชื่อว่า บริษัทจะเป็นผู้นำในด้านนี้ ก็ขอให้คอยดูว่าอะไรทำในวันนี้เราจะไม่ทำ แต่เราจะทำในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่ทะในอีก 2 ปีข้างหน้า” CEO คิง เพาเวอร์ กล่าวทิ้งท้าย