เกษตรฯบุกทลายโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์เถื่อนรายใหญ่

10 มิ.ย. 2559 | 13:04 น.
อัปเดตล่าสุด :13 มิ.ย. 2559 | 16:04 น.
กรมวิชาการเกษตรบุกทลายโรงงานปุ๋ยอินทรีย์เถื่อนรายใหญ่ในเมืองราชบุรี พบลักลอบผลิตโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียน ตะลึงของกลางพร้อมขายอื้อ สั่งอายัดกว่า 214.5 ตัน ชี้หากหลุดสู่พื้นที่เพาะปลูกทำเกษตรกรพังยับ

นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า จากการที่กรมวิชาการเกษตรได้มอบหมายให้สารวัตรเกษตรและเครือข่ายสารวัตรเกษตรทั่วประเทศ ติดตามเฝ้าระวังและควบคุมแหล่งผลิตและสถานที่จำหน่ายปุ๋ย วัตถุอันตรายทางการเกษตร และเมล็ดพันธุ์พืชอย่างใกล้ชิด ล่าสุดสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร ได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดความเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค เข้าตรวจสอบโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์ของห้างหุ้นส่วนจำกัด อมรพันธุ์ไม้ เอ เอ็ม พี เลขที่ 107 หมู่ 9 ตำบลโพพัก อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี พบว่า โรงงานดังกล่าวเป็นโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์เถื่อนรายใหญ่ โดยมีการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ที่ต้องขึ้นทะเบียนแต่มิได้ขึ้นทะเบียน และผลิตปุ๋ยอินทรีย์โดยไม่ได้รับอนุญาต

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้สั่งอายัดของกลางเป็นปุ๋ยอินทรีย์บรรจุกระสอบพร้อมจำหน่าย ตราหัวใจคู่ และตราช้างแดงคู่ ประมาณ 214.5 ตัน รวมทั้งอายัดวัตถุดิบและเครื่องมืออุปกรณ์การผลิตที่ต้องสงสัยในการกระทำความผิด เช่น กากปลาและกระดูกปลาที่นำมาจากกการหมักน้ำปลา รวมมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท และมีการเก็บตัวอย่างของกลางเพื่อตรวจวิเคราะห์คุณภาพ รวมถึงปริมาณธาตุอาหารด้วยว่าเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดหรือไม่ หากปุ๋ยอินทรีย์ล็อตนี้หลุดลอดไปสู่พื้นที่เพาะปลูกได้ อาจสร้างความเสียหายให้กับเกษตรกรค่อนข้างมาก เนื่องจากนำไปใช้แล้วอาจได้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่าการลงทุน

นายสมชาย กล่าวอีกว่า เนื่องจากมีเกษตรกรแปลง GAP ในพื้นที่จังหวัดราชบุรีได้ซื้อปุ๋ยอินทรีย์ยี่ห้อดังกล่าวไปใช้ ซึ่งเจ้าหน้าที่พบว่า ที่ข้างกระสอบปุ๋ยมีการบรรยายสรรพคุณเหนือปุ๋ยเคมีและดีกว่าปุ๋ยทุกชนิด จึงมีการติดตามตรวจสอบสืบค้นแหล่งที่มาจนนำมาสู่การจับกุมครั้งนี้ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหาดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด กรณีที่ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ที่ต้องขึ้นทะเบียนแต่มิได้ขึ้นทะเบียน ต้องระวางโทษ 1 ใน 4 ของโทษจำคุกตั้งแต่ 5-15 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000 ถึง 2,000,000 บาท ส่วนกรณีที่ผลิตปุ๋ยอินทรีย์โดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท

ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2559 สารวัตรเกษตรได้ร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดความเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ได้เข้าจับกุมดำเนินคดีผู้ฝ่าฝืนกฎหมายแล้ว จำนวน 20 ราย พร้อมยึดของกลางทั้งหมดกว่า 777.13 ตัน มูลค่ารวมกว่า 40.13 ล้านบาท ซึ่งพบประเด็นความผิด ได้แก่ 1.ผลิตหรือมีไว้ในครอบครองวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายที่ประเทศไทยห้ามผลิต นำเข้า ส่งออกหรือมีไว้ในครอบครอง 2.ผลิตหรือมีไว้ในครอบครองวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 โดยไม่ได้รับอนุญาต 3.ผลิตหรือมีไว้ในครอบครองวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ที่ต้องขึ้นทะเบียนแต่มิได้ขึ้นทะเบียน 4.ผลิตปุ๋ยอินทรีย์โดยไม่ได้รับอนุญาต 5.ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ที่ต้องขึ้นทะเบียนแต่มิได้ขึ้นทะเบียน 6.ขายปุ๋ยที่ต้องขึ้นทะเบียนแต่มิได้ขึ้นทะเบียน 7.ผลิตปุ๋ยเคมีโดยไม่ได้รับอนุญาต และ8.ผลิตปุ๋ยเคมีที่ต้องขึ้นทะเบียนแต่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน

“ขณะนี้ได้สั่งการให้ทีมสารวัตรเกษตร เครือข่ายสารวัตรเกษตร และสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรทั้ง 8 เขต ติดตามตรวจสอบสถานที่ผลิตและร้านจำหน่ายปัจจัยการผลิตทางการเกษตรทั่วประเทศเข้มงวดมากขึ้น เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงฤดูเพาะปลูกและเกษตรกรมีความต้องการใช้ปัจจัยการการผลิตสูง นอกจากนั้น ยังขอความร่วมมือเกษตรกรและประชาชนในการแจ้งเบาะแสผู้เข้าข่ายกระทำความผิด เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้เข้าตรวจสอบต่อไป” อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าว