“เปิดผับถึงตี4”ล่าสุด"พิพัฒน์"หักสธ.ชงครม. อนุมัติวันนี้

19 ธ.ค. 2565 | 21:00 น.

“เปิดผับถึงตี4” ล่าสุด "พิพัฒน์ รัชกิจประการ" รมว.การท่องเที่ยวฯ ยืนยัน ชงครม. วันนี้(20ธ.ค.) อนุมัติ หวังดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวราตรี เตรียมนำร่องจังหวัดภูเก็ต แห่งแรก

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยกับฐานเศรษฐกิจ ว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (20 ธ.ค.) กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะเสนอให้ที่ประชุมพิจารณามาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวยามค่ำคืน หรือการขยายเวลา เปิดผับถึงตี4 ให้ที่ประชุมอนุมัติ

 

โดยให้ขยายเวลาเปิดสถานบันเทิง จากเดิมเปิดถึงเวลา 02.00 น. เป็นเปิดถึงเวลา 04.00 น. แทน หลังจากกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้ทำการศึกษามาเรียบร้อยแล้ว

 

หากครม.เห็นชอบ เบื้องต้นจะนำร่องที่ถนนบางลา อำเภอกระทู้ จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวแห่งเดียวก่อน จากนั้นจึงประเมินผลว่าเป็นอย่างไร หรือมีผลกระทบเกิดขึ้นหรือไม่ หากประสบผลสำเร็จ โดยสามารถกระตุ้นการท่องเที่ยว และสร้างรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้นจะขยายผลต่อไปยังพื้นที่อื่นต่อไป

นายพิพัฒน์ ระบุว่า การดำเนินการดังกล่าว ถือเป็นหนึ่งในนโยบายการฟื้นฟูการท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมามีการศึกษาข้อมูลพบว่า การขยายเวลาปิดสถานบันเทิงจากเวลา 02.00 น. เป็น 04.00 น. จะช่วยเพื่อการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 25%

 

ส่วนเหตุผลที่เลือกนำร่องบริเวณถนนบางลาก่อน เนื่องจากปัจจุบัน 70% ของนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ และจากเก็บสถิติล่าสุดของจังหวัดที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงสุด 10 อันดับ พบว่า ภูเก็ต อยู่อันดับหนึ่งมียอดการใช้จ่ายมากที่สุดอยู่ที่ 127,927 ล้านบาท 

อย่างไรก็ตามในการดำเนินมาตรการ “เปิดผับถึงตี4” ล่าสุดมีเสียงคัดค้านจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันในเจตนารมณ์ในการไม่สนับสนุนการเข้าถึงแอลกอฮอล์อย่างไร้การควบคุม เพราะคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก เพราะไม่ต้องการให้เกิดอุบัติเหตุเมาแล้วขับ

 

ทั้งนี้ แม้จะมีข้อเสนอจากทางฝ่ายผู้ประกอบการต่าง ๆ ขอให้มีการเปิดสถานบันเทิงถึง 4 เพื่อให้การท่องเที่ยวไทยขยายตัวได้มากขึ้น แต่มองว่าเวลา 2 ชั่วโมงที่เพิ่มขึ้นไม่สามารถช่วยเรื่องเศรษฐกิจได้มากนัก แต่จะเป็นการดีและเป็นการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนกว่าหากคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก โดยไม่เสี่ยงอันตราย และแม้ว่าจะแบ่งเปิดเป็นโซนนิ่งก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เพราะคนจะแห่ไปใช้บริการที่นั่น