กงกฤช หิรัญกิจ ดันบทบาท‘สถาบันไอทิม’ ผลิตคนคุณภาพป้อนโรงแรม-ท่องเที่ยว
ว่า 29 ปีแล้วสำหรับการเปิดสถาบันโรงเรียนการจัดการโรงแรมและการท่องเที่ยวนานาชาติ (สถาบันไอทิม) จากแนวคิด “พ.อ.สมชาย หิรัญกิจ”อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ยุคปี 2519-2529 ที่เล็งเห็นว่าสมัยก่อนประเทศไทยไม่มีหลักสูตรการโรงแรมที่เป็นสากล เชิดหน้าชูตาต่างชาติได้เลย ต่อมาจึงขอกระทรวงศึกษาธิการ เปิดสถาบันนี้ขึ้น ที่กว่าจะสำเร็จก็ไม่ง่าย เพราะช่วงนั้นมีเรื่องของคอมมิวนิสต์ และผลกระทบต่อเนื่องที่เกี่ยวกับต่างชาติ จึงมีกฎหมายป้องกันเรื่องนี้ จนปี 2530 จึงสามารถเปิดสถาบันไอทิมได้ ซึ่งจัดว่าเป็นสถาบันแรกในไทยที่สอนวิชาชีพด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยวเป็นหลักสูตรนานาชาติ และวันนี้ธุรกิจโรงเรียนการโรงแรมมีการแข่งขันที่สูงขึ้น บทบาทของสถาบันไอทิมจากนี้จะมีทิศทางอย่างไร อ่านได้จากสัมภาษณ์ นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานกรรมการโรงเรียนการจัดการโรงแรมและการท่องเที่ยวนานาชาติ (ไอทิม) หรือI-TIM
เล็งเปิดศูนย์บริการธุรกิจรร.
คุณกงกฤช เปิดใจว่า สถาบันไอทิม แม้จะเปิดมานานก็จริง แต่วิสัยทัศน์ในการทำงานยังคงเหมือนเดิม คือเป็นสถาบันการศึกษาที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศในการผลิตผู้นำและผู้บริหารที่มีคุณภาพทางด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยวและเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ ขณะเดียวกันต้องมองการพัฒนาหลักสูตรใหม่ๆหรือแสวงหาโอกาสใหม่ๆที่ตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในปัจจุบันและแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นควบคู่กันไป
ดังนั้นนอกจากการเปิดสอนหลักสูตรในสาขาด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยว ที่เป็นหลักสูตรนานาชาติ ซึ่งเป็นจุดเน้นมาตั้งแต่แรก และยังคงจุดโฟกัสหลักในการดำเนินธุรกิจของสถาบันไอทิมจนถึงปัจจุบันแล้ว ผมยังมองถึงการขยายการให้บริการใหม่ๆเพิ่มขึ้น โดยขณะนี้ผมมีแผนจะเปิดศูนย์บริการธุรกิจซึ่งจะเหมือนเป็นคลินิกทางด้านการโรงแรม เพื่อเป็นที่ปรึกษาให้กับโรงแรมอิสระ ที่ไม่ได้ใช้เชนจากต่างประเทศเข้ามาบริหารให้ เพราะมีต้นทุนสูงเกินกำลังรวมถึงการเติบโตของธุรกิจโรงแรมขนาดเล็ก อย่าง โฮสเทล หรือรีสอร์ตใหม่ๆที่เกิดขึ้นมาก ซึ่งศูนย์นี้จะเข้ามาช่วยเรื่องการสร้างระบบให้มีมาตรฐาน การฝึกอบรม รวมไปถึงการทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาดของโรงแรม และการสร้างเครือข่ายกับโรงแรมต่างๆ เพื่อเกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และด้านการตลาดเป็นต้น
ทั้งนี้แนวคิดในการจัดตั้งศูนย์บริการธุรกิจดังกล่าวขึ้นมา เพราะที่ผ่านมาสถาบันไอทิม มีการเปิดอบรมด้านโฮเต็ล แมเนจเมนต์ ให้แก่เจ้าของโรงแรมขนาดกลางและเล็กที่มีโรงแรมขนาดไม่เกิน 100 ห้อง ซึ่งมีเจ้าของโรงแรมมาเข้าร่วมอบรมกว่า 300-400 รายแล้ว ซึ่งผู้ประกอบการเหล่านี้ก็ต้องการให้สถาบันไอทิม เข้ามาช่วยสร้างระบบและเครือข่าย เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจภาคโรงแรมไทย ขณะเดียวกันทางสถาบันก็จะมีรายได้จากค่าธรรม เนียมในการให้บริการ
เปิดหลักสูตรใหม่ “ปากะศิลป์”
อีกทั้งในปีนี้ยังมีการเปิดหลักสูตรใหม่ๆเพิ่มขึ้น อาทิ หลักสูตรเฉพาะด้านการซักรีด เป็นการผสมผสานเทคนิคการซักรีดและการจัดการซักรีดในธุรกิจ ใช้เวลาอบรม 3 วัน รวมทั้งล่าสุดยังได้เปิดสถาบันการอาหารหลักสูตร “ปากะศิลป์”(ศิลปะการครัวแบบต้นตำรับดั้งเดิม ที่สืบทอดในวงสังคมไทยชั้นสูงในสมัยโบราณ จนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทย) โดยได้รับความร่วมมือจากกูรูผู้ครํ่าหวอดในวงการอาหารของเมืองไทยที่หลากหลาย อย่าง “อนันต์โรจน์ ทังสุพานิช” กูรูศาสตร์และศิลป์อาหารไทย“ภารณี จิตรกร” ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารระดับกรรมการตัดสินเชฟกระทะเหล็กประเทศไทยและอาจารย์สอนไวน์บอร์กโดซ์ระดับโลกเชฟแจ๊ด-ศาสตะพร ชูดวงจากครอบครัวเก่าแก่ด้านการปรุงอาหารไทยตามตำรับดั้งเดิมและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ และเชฟหนุ่ม-ธนันธร จันทรวรรณ เชฟรุ่นใหม่ดีกรีเชฟกระทะเหล็กประเทศไทยที่สร้างชื่อเสียงด้านอาหารไทยไกลถึงลอนดอนมาร่วมเป็นผู้ฝึกอบรม
โดยสถาบันอาหารไอทิม จะเปิดสอนหลักสูตรปากะศิลป์ 3 ระดับ ได้แก่ระดับต้น (สำ?หรับผู้ไม่มีพื้นฐานมาก่อนจะได้เรียนรู้ตั้งแต่การเตรียม การเลือกใช้วัตถุดิบต่างๆ สัดส่วนของวัตถุดิบ เทคนิคการปรุงและการตกแต่งเบื้องต้น) ระดับกลาง (เริ่มเข้าสู่ความเป็นมืออาชีพโดยยังเรียนรู้ด้วยตนเอง เน้นปรุงอาหารไทยที่มีความซับซ้อน ใช้วัตถุดิบที่สอดคล้องกับฤดูกาล ได้รับเทคนิคการปรุงที่สูงขึ้น)และระดับสูง(เป็นมืออาชีพอย่างแท้จริงสามารถประยุกต์วัตถุดิบแปลกใหม่ แต่ยังคงรสชาติต้นตำรับได้อย่างลงตัว สร้างสีสันอาหารไทยที่แปลกใหม่ ตามยุคสมัย) ซึ่งทั้ง 3 หลักสูตร ใช้เวลาเรียนหลักสูตรละ 12 วัน ซึ่งได้เริ่มเปิดสอนรุ่นแรกไปเมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมาซึ่งผู้สำเร็จการศึกษาแต่ละระดับจะได้รับประกาศนียบัตรจากสถาบัน คิดค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 6 หมื่นบาท
“การตัดสินใจเปิดหลักสูตรนี้ขึ้นมา เป็นเพราะปัจจุบันอาหารไทยได้รับความนิยมไปทั่วโลก เนื่องจากมีเอกลักษณ์เฉพาะ ทั้งเรื่องรสชาติ และคุณประโยชน์ของวัตถุดิบที่ใช้ในการปรุง แต่ยังขาดสถาบันการสอนด้านการอาหารที่เน้นถ่ายทอดความรู้ตั้งแต่ปูมประวัติที่มาของการปรุงอาหารแบบไทยดั้งเดิม ซึ่งเป็นศิลปะที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาบนภูมิปัญญาของคนไทยในสมัยโบราณตลอดจนการคัดเลือกวัตถุดิบและเคล็ดลับเทคนิคการปรุงแบบฉบับโบราณขนาดแท้ ไม่ใช่แค่การสอนทำอาหารไทยทั่วไปทำให้ไอทิม จึงได้ร่วมกับคณะผู้เชี่ยวชาญศิลปะด้านอาหารไทยที่แท้จริง จัดตั้งสถาบันการอาหารไอทิม หลักสูตร “ปากะศิลป์” หรือศิลปะการปรุงอาหารไทยขึ้นมา”
ยันไอทิม ไม่มีคู่แข่ง
ในส่วนของการเรียนการสอนด้านโรงแรมและการท่องเที่ยว ซึ่งไอทิมเปิดสอนเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น และมี 2หลักสูตร คือ หลักสูตร 1 ปี ประกาศนียบัตรสาขาการดำเนินงานโรงแรมและการท่องเที่ยว สำหรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป และหลักสูตร 2 ปีวุฒิบัตร สาขาการจัดการโรงแรมและการท่องเที่ยว สำหรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาชั้นม.6 หรือเทียบเท่าขึ้นไป คิดค่าเรียนอยู่ที่ 9.8 หมื่นบาทต่อปี ในแต่ละปีจะเปิดรับสมัครนักศึกษาจำนวน 2 รุ่น ดังนั้นจะมีนักศึกษาราว 400 คนต่อปี ซึ่งไม่ได้มาก เน้นคุณภาพเป็นหลักไม่ใช่ปริมาณ
เนื่องจากจุดเด่นในด้านหลักสูตรของไอทิม จะเป็นการผสมผสานหลักสูตรการเรียนการสอนการจัดการโรงแรมและการท่องเที่ยวในแบบสวิตเซอร์แลนด์และสหรัฐอเมริกา เพราะสวิตเซอร์แลนด์จะเป็นสไตล์การทำแบบยุโรป สอนเพื่อให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดการทั่วไปหรือจีเอ็มขณะที่ทางสหรัฐอเมริกา จะเก่งเรื่องระบบการบริหารจัดการ และไอทิมยังให้เวลาในการฝึกภาคปฏิบัติ เท่าๆกับการเรียนภาคทฤษฎี รวมถึงไอทิมยังได้ทำเอ็มโอยู เป็นพันธมิตรร่วมกับสถาบันการศึกษาหลายแห่งทั้งในไทยและต่างประเทศครอบคลุมทั้งในสหรัฐอเมริกายุโรป เอเชียและตะวันออกกลาง ทำให้กลุ่มนักศึกษาของไอทิม จึงแบ่งเป็น 2กลุ่ม คือ คนที่เรียนจบแล้วต้องการทำงานทันที และกลุ่มที่เรียนจบและต้องการเรียนต่อปริญญาตรีทั้งในประเทศและต่างประเทศ สามารถโอนเรียนต่อได้
ประกอบกับไอทิม เป็นสถาบันโรงเรียนการจัดการโรงแรมและการท่องเที่ยวนานาชาติที่เป็นอิสระ ไม่ได้เป็นเรื่องของการขยายธุรกิจจากโรงแรมมาทำเรื่องโรงเรียนการโรงแรม ไอทิม จึงไม่มีปัญหาเรื่องของ Conflict of Interes(ผลประโยชน์ขัดกัน) จุดเหล่านี้จึงทำให้ไอทิม ไม่ได้มีเรื่องของคู่แข่ง เพราะการมีหลักสูตรที่แตกต่าง รวมถึงบุคลิกของนักศึกษาก็จะแตกต่างจากสถาบันอื่นๆและมีโอกาสทำงานในโรงแรมชั้นนำสายการบินและบริษัทท่องเที่ยวต่างๆเมื่อสำเร็จการศึกษา
“ผมยังมองกรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางสำหรับการศึกษาด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยวอยู่ การขยายสาขาไปเปิดให้บริการในต่างจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวหลัก เพื่อรองรับนักศึกษา จึงยังไม่น่าจะเหมาะ หรือได้รับความสนใจมากนัก ทำให้ผมจึงไม่มีแผนขยายสาขาแต่จะมุ่งพัฒนาหลักสูตรและการฝึกอบรมของสถาบันไอทิม ที่กรุงเทพฯเป็นหลัก ซึ่งนักศึกษาก็มีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมในการป้อนบุคลากรด้านการท่องเที่ยว เข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ขณะที่ครูผู้สอน ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ” นายกงกฤชกล่าวทิ้งท้าย
ทั้งหมดเป็นทิศทางการดำเนินงานของสถาบันไอทิม ที่เกิดขึ้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,158 วันที่ 19 - 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2559