ท่องเที่ยวสิ้นสุดวิกฤตโควิด ททท.ชง "ศบศ."ของบหลักร้อยล้าน บูสต์ท่องเที่ยว

11 มิ.ย. 2565 | 01:00 น.

ททท.มั่นใจสิ้นสุดวิกฤตโควิด-19 จัดงาน TTM+ 2022 หนุนเอเย่นต์ต่างชาติกลับมาขายไทย จ่อชงศบศ.อัดงบหลักร้อยล้านบาทบูสเตอร์ตลาด หวังดันต่างชาติเที่ยวไทยไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคนในปีนี้ คาดปี 67 รายได้กลับมา 100% เท่ากับก่อนเกิดโควิด

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เผยว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวของไทย ณ วันนี้ส่งสัญญาณชัดเจนว่ากำลังจะเริ่มฟื้นกลับมาแล้ว และถือว่าสิ้นสุดวิกฤตโควิด-19 สำหรับภาคการท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการซึ่งวัดได้จาก 2 ปัจจัยหลักที่เกิดขึ้น ได้แก่

 

1. การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังจากภาครัฐทยอยลดข้อจำกัดในการเดินทางเข้าไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังการยกเลิกระบบ Test & go ส่งผลให้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 6 มิ.ย.2565 ไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาแล้วมากกว่า1.4 ล้านคน ถือว่ามากกว่าปีที่แล้วทั้งปีที่เข้ามาเพียง 4.4 แสนคนเท่านั้น 

 

ท่องเที่ยวสิ้นสุดวิกฤตโควิด ททท.ชง "ศบศ."ของบหลักร้อยล้าน บูสต์ท่องเที่ยว

 

2.การตอบรับของเอเย่นต์หรือผู้ซื้อจากต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาร่วมงาน Thailand Travel Mart Plus 2022 (TTM+ 2022) ระหว่างวันที่ 8 - 10 มิถุนายน 2565
ที่ภูเก็ต ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี ที่เอเย่นต์จากต่างประเทศจะกลับมาขายประเทศไทยอีกครั้ง

 

ท่องเที่ยวสิ้นสุดวิกฤตโควิด ททท.ชง "ศบศ."ของบหลักร้อยล้าน บูสต์ท่องเที่ยว

 

โดยการจัดงานในปีนี้พบว่ามีซื้อ 276 ราย จาก 45 ประเทศทั่วโลกเดินทางเข้ามา100%  และเป็นผู้ประกอบการรายใหม่เข้าร่วมกว่า 45.7% ร่วมเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทย 264 ราย ซึ่งมีการนัดหมายเจรจาธุรกิจรวมกว่า 8 พันนัดหมาย คาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 1,290 ล้านบาท

 

ท่องเที่ยวสิ้นสุดวิกฤตโควิด ททท.ชง "ศบศ."ของบหลักร้อยล้าน บูสต์ท่องเที่ยว

ดังนั้นเพื่อให้การท่องเที่ยวของไทยกลับมาเป็นตัวช่วยในการฟื้นและกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมอีกครั้ง  ตามนโยบายของรัฐบาล ททท.จะต้องมีมาตรการที่จะมาเป็นบูสเตอร์ ช็อต ในการกระตุ้นตลาด โดยททท.จะทำโครงการเสนอไปยังศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ หรือ ศบศ. เกี่ยวกับการขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ที่อาจจะเป็นงบกลาง หรืองบเงินกู้ ในหลักร้อยล้านบาท เพื่อใช้กระตุ้นตลาด

 

โดยจะโฟกัสในเรื่องของการสนับสนุนให้มีการเปิดเที่ยวบินและเพิ่มเที่ยวบินเข้าไทยเพิ่มมากขึ้น ที่จะต้องหารือกับภาคเอกชนและสายการบินต่างๆ เพราะวันนี้นักท่องเที่ยวอยากมาแต่ติดเรื่องไม่มีที่นั่งบนเครื่องบิน เพราะหากให้สายการบินทำตลาดเพียงฝ่ายเดียว เขาก็จะขายได้ในอัตราการบรรทุกเฉลี่ย50-60%ไม่พอที่จะเปิดเที่ยวบิน

 

แต่หากททท.เข้าไปสนับสนุนในการทำการตลาดร่วมกันก็จะผลักดันให้มีอัตราการบรรทุกเฉลี่ยไม่น้อยกว่า70-80%ก็จะทำให้มีการเปิดเที่ยวบินหรือเพิ่มจำนวนที่นั่งเข้าไทยมากขึ้น โดยเฉพาะเที่ยวบินชาร์เตอร์ไฟล์ต และจะทำให้ค่าตั๋วเครื่องบินลดลงด้วย โดยเน้นจุดบินในเอเชีย อย่าง จีน ลาว มาเลเซีย เกาหลีใต้ รัสเซีย ออสเตรเลีย และตลาดระยะไกลอย่างยุโรป ที่จะทำให้เริ่มเปิดเที่ยวบินเข้ามาภายในเดือนสิงหาคมนี้

 

รวมไปถึงการทำโรดโชว์และพบปะเอเย่นต์ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศที่มีประชากรมากและมีแนวโน้มดีในการกระตุ้นตลาดในการเดินทางมาเที่ยวเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย ที่วันนี้เป็นกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยเป็นอันดับหนึ่งแล้ว ตลาดตะวันออกกลางที่มีทิศทางที่ดี โดยเฉพาะซาอุดิอาระเบีย หลังจากกลับมาเปิดความสัมพันธ์ระหว่างกันอีกครั้ง รวมไปถึงตลาดอินโดนีเซีย

 

ส่วนจีนที่เป็นตลาดหลักททท.ได้ติดตามสถานการณ์มาโดยตลอด และบางมณฑลของจีนก็ติดต่อเราเข้ามาถึงความเป็นไปได้ในการทำการท่องเที่ยวแบบแซนด์บ็อกซ์ ททท.ก็หวังว่าน่าจะเริ่มต้นในเดือนต.ค.นี้เพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวจีนได้ในช่วงตรุษจีนปีหน้า

 

นายยุทธศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในปีนี้ททท.ตั้งเป้าหมายว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางไทยอยู่ที่ 7-10 ล้านคน แต่ถ้าได้รับการสนับสนุนงบดังกล่าว ททท.คาดว่าทำให้ไทยมีนักท่องเที่ยวไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน ทำให้การท่องเที่ยวกลับเร็ว ฟื้นเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยว และเราหวังเห็นการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวไปยังเมืองอื่นๆด้วยไม่ใช่เมืองหลักเท่านั้น

 

วันนี้ด้วยโมเมนตั้มการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวที่ดีขึ้น หลังการยกเลิก Test and Go ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 โดยต่อวันมีจำนวนกว่า 3หมื่นคนแล้ว ททท.จึงได้ปรับเพิ่มการผลักดันจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กันยายน65 จากเดิมวางไว้ที่ 3 แสนคนต่อเดือนเป็น 5 แสนคนต่อเดือน  และไฮซีซั่น ระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2565 คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 1 ล้านคนต่อเดือน 

 

รวมไปถึงเพิ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคยุโรปจากที่วางไว้ 2 ล้านคนกว่าๆเพิ่มเป็น 3.25 ล้านคนในปีนี้.โดยเฉพาะตลาดรัสเซียตั้งเป้าไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน

 

"วันนี้การกลับมาของนักท่องเที่ยวอาจจะน้อยเมื่อเทียบกับก่อนเกิดโควิด แต่การใช้จ่ายต่อทริปเพิ่มสูงขึ้นจากนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพที่เดินทางมาเพิ่มขึ้น ซึ่งนับจากไทยเปิดการท่องเที่ยวแบบแซนด์บ็อกซ์จนถึงไตรมาส1ปีนี้ มีการใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 7.7 หมื่นบาทต่อทริป สูงกว่าก่อนเกิดโควิดที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 4.7 หมื่นบาทต่อทริป"

 

ส่วนตลาดการเดินทางเที่ยวในประเทศ ที่มีตัวขับเคลื่อนอย่างโครงการ"เราเที่ยวด้วยกัน"มาเป็นแรงกระตุ้นก็จะผลักดันให้คนไทยเดินทางเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้นได้อยู่ แม้จะเริ่มเห็นคนไทยบางส่วนเริ่มเดินทางไปต่างประเทศบ้างแล้ว หลังหลายประเทศเปิดการท่องเที่ยว ซึ่งก็ถือเป็นความท้าทายในการทำตลาดภายในประเทศอยู่บ้าง

 

อย่างไรก็ตามด้วยสถานการณ์เช่นนี้ทำให้ททท.คาดว่าในปีนี้ท่องเที่ยวไทยจะสร้างรายได้รวมอยู่ที่ 1.5 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 7-10 ล้านคนและนักท่องเที่ยวในประเทศ 160 ล้านคน-ครั้ง 

 

ส่วนในปี 2566 ททท. คาดการณ์ว่ารายได้รวมจากการท่องเที่ยวทั้งจากคนไทยและต่างชาติจะสูงขึ้นถึง 2.4 ล้านล้านบาท คิดเป็น 80 % ของรายได้ปี 2562ก่อนเกิดโควิด โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 20 ล้านคน  

 

ในปี2567 รายได้รวมของการท่องเที่ยวจะกลับมาเป็น 3 ล้านล้านบาท เท่ากับฐานปี2562 หรือก่อนเกิดโควิด คิดเป็นสัดส่วน 100% มีนักท่องเที่ยวต่างชาติราว25-30 ล้านคน โดยททท.จะเน้นรักษาสมดุลการเดินทางเที่ยวของตลาดต่างชาติและการเดินทางเที่ยวในประเทศอยู่ในอัตรา2:1 เหมือนเดิม