3 ปัจจัยสกัดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปี 65 ดันได้แค่ 5.5 ล้านคน

27 เม.ย. 2565 | 11:13 น.

วิจัยกรุงศรี ประเมิน 3 ปัจจัย สกัดนักท่อเงที่ยวต่างชาติ ปี 65 สงครามรัสเซีย-ยูเครน การเปิดประเทศของจีน และ การแข่งขัน เผยคาดการณ์ผลักดันได้แค่ 5.5 ล้านคน จากตัวเลขก่อนโควิด 39.79 ล้านคน ระบุการยกเลิกระบบ Test & Go และผ่อนคลายเงื่อนไขการเดินทางเข้าประเทศ เป็นได้แค่แรงหนุน

วิจัยกรุงศรี ได้ประเมินสถานการณ์การท่องเที่ยวและการเดินทางเข้าไทย ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังรัฐบาลยกเลิกระบบ Test & Go และผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศเพิ่มเติม เพื่อหนุนการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว

 

แต่วิจัยกรุงศรียังคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 5.5 ล้านคน ซึ่งห่างชั้นมากเมื่อเทียบกับสถานการณ์ก่อนโควิด ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 39.79 ล้านคน เนื่องจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือของปียังเผชิญกับแรงกดดันหนักๆ 3 เรื่อง ได้แก่ 

  1. สงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อนักท่องเที่ยวรัสเซีย และการวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวเข้าไทยของนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ โดยเฉพาะภูมิภาคยุโรป รวมทั้งอาจส่งผลให้เกิดวิกฤตราคาพลังงานกระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกชะลอลง 
  2. นักท่องเที่ยวจีนที่เป็นตลาดหลัก ยังมีแนวโน้มใช้มาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศที่เข้มงวดเพื่อควบคุมการระบาด 
  3. การแข่งขันที่เข้มข้น เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติจากประเทศคู่แข่งขันสำคัญของไทยในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกใต้อยู่ที่ 5.5 ล้านคนในปี 2565 ซึ่งยังห่างชั้นมากเมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสะสมเดินทางมาท่องเที่ยวไทย 39.79 ล้านคน

3 ปัจจัยสกัดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปี 65 ดันได้แค่ 5.5 ล้านคน

แม้ภาคท่องเที่ยวจะมีสัญญาณเชิงบวก จากการยกเลิกระบบ Test & Go และผ่อนคลายเงื่อนไขการเดินทางเข้าประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกและให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ที่หลายๆ ประเทศ ทั้งในยุโรปและเอเชีย ได้ผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศมากขึ้น 

และสหรัฐฯ ได้ปรับไทยออกจากกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุดจากการระบาดของโควิด-19 หรือระดับ 4 (เตือนให้หลีกเลี่ยง) มาอยู่ในระดับ 3 ซึ่งแนะนำให้ฉีดวัคซีนโควิด-19 ก่อนเดินทางเท่านั้น ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ นักท่องเที่ยวสหรัฐฯ ที่เดินทางมาไทย มีจำนวนสูงสุดเป็นอันดับ 5 รองจากรัสเซีย เยอรมนี สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส 

 

สำหรับการผ่อนคลายมาตรการ คณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เห็นชอบยกเลิกการตรวจ RT-PCR สำหรับผู้เดินทางเข้าไทย ที่ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ รวมถึงปรับลดวงเงินประกันสำหรับผู้เดินทางเป็น 10,000 ดอลลาร์ฯ (จาก 20,000 ดอลลาร์ฯ) 

 

นอกจากนี้ ศบค. ยังเห็นชอบปรับระดับพื้นที่ตามสถานการณ์การระบาด เหลือเป็นพื้นที่เฝ้าระวังสูง(สีเหลือง) 65 จังหวัด และพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) 12 จังหวัด โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมนี้

 

ส่วนการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยรวม รัฐบาลเตรียมเปิดเวทีระดมความเห็นเพื่อกำหนดเป็นแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ รมว.คลัง ได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประเมินสภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงพิจารณาว่ายังมีความจำเป็นอีกหรือไม่ในการอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหากจำเป็นให้พิจารณาแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ด้วย โดยไม่จำเป็นต้องเป็นการกู้เงิน เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว มีการใช้จ่ายเงินในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ทำให้รัฐสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น จึงควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกเศรษฐกิจ

3 ปัจจัยสกัดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปี 65 ดันได้แค่ 5.5 ล้านคน

ปัจจุบันการใช้เงินกู้ตามพ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ยังมีวงเงินคงเหลืออยู่ประมาณ 7.4 หมื่นล้านบาท และงบกลางเหลืออยู่ 6 หมื่นล้านบาท (กันไว้ใช้สำหรับภัยพิบัติ 3-4 หมื่นล้านบาท) 

ทั้งนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะประเมินว่า หากรัฐบาลมีความจำเป็นต้องกู้เพิ่ม จะยังสามารถมีพื้นที่ทางการคลังกู้เงินเพิ่มได้อีกประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท ถึงจะเต็มเพดานหนี้สาธารณะที่ขยายกรอบจาก 60% เป็น 70% ต่อ GDP (ล่าสุด ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565 หนี้สาธารณะอยู่ที่ 60.17% ของ GDP) 

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลระบุเตรียมเปิดเวทีสาธารณะในเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากทุกระดับและทุกภาคส่วน เพื่อนำข้อเสนอต่างๆ มาจัดทำเป็นแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบทั้งจากการระบาดของ COVID-19 และสถานการณ์ความขัดแย้งของรัสเซีย-ยูเครน