โอสถสภา กวาดยอดขาย 2.67 หมื่นล้าน กำไร 3,255 ล้าน

24 ก.พ. 2565 | 08:48 น.

‘โอสถสภา’ โชว์แผนปี 65 เดินหน้าบริหารต้นทุน มุ่งปรับ Ecosystem ตอบรับนิวนอร์มอล พร้อมต่อยอดสู่ความยั่งยืน หลังโชว์ผลงานทำยอดขาย 2.67 หมื่นล้าน กำไร 3,255 ล้านบาท

นางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP  ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศ เปิดเผยว่า ปี 2565 ถือเป็นปีที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าสถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลาย และสภาวะตลาดเริ่มฟื้นตัว กลับมาสู่สถานการณ์ปกติอีกครั้ง จึงต้องเตรียมแผนการไว้ให้พร้อม

 

เพราะเมื่อสถานการณ์โควิด-19 เริ่มดีขึ้น บรรยากาศการบริโภคจะเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว หากใครเตรียมพร้อม เตรียมการณ์มาดี ก็จะได้เปรียบ สำหรับโอสถสภานั้น ได้มีการวางกลยุทธ์สร้างการเติบโตไว้อย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้มีความพร้อมและสามารถตอบรับสภาวะการฟื้นตัวของตลาดได้อย่างทันที

วรรณิภา ภักดีบุตร

สำหรับแผนงานปี 2565 โอสถสภามุ่งเน้นบริหารด้านต้นทุนผ่านโครงการ Fast Forward 10X เพิ่มศักยภาพเพื่อการเติบโต ครอบคลุมทุกมิติ

 

1. การบริหารจัดการด้านต้นทุน

 

2. การนำเทคโนโลยีมาพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ

 

3. จัดการด้านกระบวนการทำงานที่รวดเร็ว คล่องตัว

 

4. พัฒนาการบริหารบุคลากร ให้มีทักษะความรู้หลากหลาย มีความยืดหยุ่น ไม่หยุดเรียนรู้

 

5. บริหารจัดการทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

 

นอกจากนี้ ยังมุ่งปรับ Ecosystem ขององค์กรให้พร้อมรับมือกับโอกาสและความท้าทายในอนาคต ได้แก่ สร้างผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลสุขภาพ (Health & Wellbeing) ประชากรสูงอายุ พฤติกรรมใหม่ๆ ของผู้บริโภค เช่น พฤติกรรมของเจเนอเรชั่นใหม่ๆ (เจนเอ็กซ์ เจนวาย เจนซี เจนอัลฟา)

 

การใช้ชีวิตอยู่บ้านมากขึ้น มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีมาต่อยอดการขายให้แข็งแรงมากขึ้น เน้นการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) เอา Data มาช่วยในการตัดสินใจ ปรับการทำงานให้มี Efficiency มากขึ้น เร็วขึ้น ต้นทุนลดลง มองหา Inorganic Growth เพื่อต่อยอดธุรกิจ เพิ่มศักยภาพ ลดต้นทุน

โอสถสภา

ล่าสุด บริษัทสร้างโอกาสทางธุรกิจ ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจอย่างกลุ่มยันฮี บุกตลาดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชงกัญชา รวมถึงใช้เครือข่ายกระจายสินค้าที่แข็งแกร่ง ดูแลการจัดจำหน่ายขนมขบเคี้ยวแบรนด์คารามูโจ้ และ สคอร์น ผ่านเครือข่ายร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Traditional Trade)  และแม็คโคร รวมกว่า 400,000 แห่งทั่วประเทศ

 

สำหรับผลประกอบการในปี 2564 บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยมียอดขายรวม 26,762 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.6% สะท้อนศักยภาพการดำเนินธุรกิจและการปรับตัวให้เข้ากับภาวะตลาดโดยใช้ข้อได้เปรียบจากการมีพอร์ตโฟลิโอสินค้าที่แข็งแกร่ง และเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคเชื่อถือ

 

โอสถสภาคงความเป็นผู้นำและมีส่วนแบ่งตลาดเติบโตสวนกระแสตลาด มีส่วนแบ่งในตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 54.6% จากแบรนด์อันดับ 1 อย่างเอ็ม-150 รวมถึง ลิโพ และโสมอินซัม เช่นเดียวกับกลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชั่นนอลดริงก์ ที่ประสบความสำเร็จสามารถผลักดันยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นเลขสองหลัก และมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเป็น 37.3%

โอสถสภา

บริษัทมีกำไรสุทธิ 3,255 ล้านบาท โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงหลังจากการปลดล็อคดาวน์แล้วนั้น มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 47% จากไตรมาสก่อน ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 มีมติเสนอจ่ายเงินปันผลการดำเนินงานในปี 2564 ในอัตรา 1.1 บาทต่อหุ้น เป็นจำนวนเงิน 3,304 ล้านบาท

 

โดยแบ่งเป็นเงินปันผลระหว่างกาลครึ่งปีแรกในอัตรา 0.45 บาทต่อหุ้น คงเหลือที่ต้องจ่ายเงินปันผลจากงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังและกำไรสะสมอีก 0.65 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นที่มีรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิ์รับเงินปันผลในวันที่ 6 เดือนพฤษภาคม 2565 และจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 เดือนพฤษภาคม 2565 โดยจะขออนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นต่อไป

 

นอกจากนี้ โอสถสภายังตอกย้ำความเป็นเลิศในการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการบริหารงานภายใต้ ESG (Environmental, Social and Governance) เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน จากการได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในดัชนีหลักทรัพย์ด้านความยั่งยืน และคว้ารางวัลในหลากหลายด้าน ทั้งการดำเนินธุรกิจ การตลาด การบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล และความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม