TABBA จี้ลดดีกรีคุมเข้มขายน้ำเมา หวั่นระบาดจากนักดื่มตระเวนหาซื้อ

02 พ.ค. 2564 | 10:17 น.

สมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย จี้ลดดีกรีคุมเข้มห้ามขายน้ำเมา หวั่นเกิดคลัสเตอร์ใหม่จากการตระเวนหาซื้อของนักดื่ม

การระบาดอย่างหนักของโควิด-19 ระลอก 3 ทำให้ภาครัฐต้องออกมาตรการเฝ้าระวังและควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเข้มข้น รวมถึงล่าสุดมี 22 จังหวัดที่ออกประกาศขอความร่วมมือประชาชนงดออกจากบ้านยามวิกาล และยังให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดกำหนดมาตรการเฝ้าระวัง

ซึ่งพบว่ามีหลายจังหวัดที่มีมาตรการเข้มข้น เช่น จังหวัดราชบุรี ที่ออกคำสั่งที่ 1740/2564 เรื่องมาตรการเฝ้าระวังและควบคุมการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ฉบับที่ 25 ระบุว่า ...

ข้อ 5 กำหนดมาตรการควบคุมป้องกันโรคเพิ่มเติม ดังนี้

ปิดสถานที่จำหน่ายสุราทั้งค้าปลีกและค้าส่ง (ประเภท1และ2) ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 แต่สามารถจำหน่ายสินค้าประเภทอื่นที่มิใช่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างมาก

นายธนากร คุปตจิตต์ เลขาธิการสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย หรือ TABBA เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า หากเกิดการใช้มาตรการที่ไม่เหมาะสมและรอบคอบในบางจังหวัดโดยไม่ยึดหลักและแนวทางที่ ศบค ได้แบ่งกำหนดเขตพื้นที่ไว้แล้ว ก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างหนัก และอาจก่อให้เกิดคลัสเตอร์การระบาดรอบใหม่โดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้พิจารณาได้จากศบค ชุดใหญ่ได้มีการประชุมพิจารณาอย่างรอบคอบ จึงได้แบ่งกลุ่มพื้นที่ของแต่ละจังหวัดออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด, พื้นที่ควบคุมสูงสุดและพื้นที่ควบคุม โดยมีประกาศกำหนดมาตรการเพื่อการควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดโควิดโดยแบ่งมาตรการความเข้มข้นจากหนักไปหาเบาในแต่ละพื้นที่ตามลำดับ กับทั้งยังได้มีประกาศขอความร่วมมืองดออกจากเคะสถานในอีก 15 จังหวัดไว้อีกด้วย

เนื่องจากได้มีการพิจารณามิติของด้านเศรษฐกิจและสังคมเข้าไปด้วย เพราะรัฐบาลได้บทเรียนมาจากการกำหนดมาตรการต่างๆมาก่อนหน้านี้แล้ว รวมถึงเพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกันและไม่เกิดความสับสนต่อประชาชนผู้ที่ต้องปฏิบัติตาม

ทั้งนี้ตลอดเดือนเมษายนซึ่งเกิดการระบาดโควิดระลอก 3 ธุรกิจการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารและร้านขายเครื่องดื่ม ผับ บาร์ ได้รับผลกระทบรุนแรงจากการแพร่กระจายไปทุกที่ ส่งผลทำให้ผู้ประกอบการบางแห่งจะต้องปิดการประกอบธุรกิจทันที และส่งผลกระทบทางอ้อมต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และบุคคลที่เกี่ยวข้องทันที เช่น ซัพพลายเออร์ต่างๆ พนักงานลูกจ้าง นักร้อง นักดนตรี พ่อครัวแม่ครัว ตลอดจนครอบครัวของพวกเขาด้วย 

ธนากร คุปตจิตต์

อย่างไรก็ดี มาตรการเฝ้าระวังของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเวลาในการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็ถือว่าเป็นการใช้มาตรการทางกฎหมายความคู่กับการบริหารจัดการทางเศรษฐกิจและสภาพสังคม เพราะผู้บริโภคสามารถบริหารจัดการเกี่ยวกับการหาซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สำหรับตนเอง โดยไม่ต้องไปตระเวนหาซื้อในที่ต่างๆ ที่อาจเกิดความเสี่ยงที่จะไปแพร่เชื้อหรือรับเชื้อโควิดที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้

ในขณะเดียวกันก็เป็นการผ่อนคลายบรรยากาศที่ตรึงเครียดและผ่อนคลายในการปรับตัวในการทำธุรกิจ และเป็นที่ทราบดีจากประสบการณ์ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ว่าการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้สร้างปัญหาและเป็นแรงจูงใจทางอ้อมให้เกิดการทำผิดกฎหมาย ในเรื่องสุราผิดกฎหมาย (แอบขาย ผลิตเองดื่มเอง เป็นต้น)

การตระเวนเดินทางเพื่อไปหาซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่อื่น ซึ่งไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ในอันที่จะให้หยุดอยู่บ้านเพื่อควบคุมผู้คนให้อยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเท่านั้น ซึ่งในครั้งนี้ ศบค ได้ใช้มาตรการขอความร่วมมือเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว เช่น การขอความร่วมมืองดออกจากเคหะสถาน และการพิจารณาให้ทำงานที่บ้าน (Work From Home-WFH) เป็นต้น

นายธนากร  กล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์การระบาดรอบใหม่นี้ รัฐบาลได้มีเครื่องมือพิเศษมาเป็นตัวช่วย ซึ่งจะต่างกว่าการระบาดของโควิดครั้งก่อนๆที่ผ่านมา คือ เริ่มมีการฉีดวัคซีน ซึ่งจะทำให้การระบาดและความรุนแรงจากโควิดลดลง โดยในปลายไตรมาสสุดท้ายคือ เดือนตุลาคมที่จะถึงนี้สถานการณ์เชื่อว่าน่าจะดีขึ้น รัฐบาลควรที่จะต้องพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME และประชาชนทั่วไป

โดยได้ประชุมและทำงานร่วมกับภาคเอกชน เพื่อให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในอันที่จะทำให้ประเทศไทยฟื้นกลับมาโดยเร็ว สิ่งสำคัญรัฐบาลเองก็ต้องทบทวนมาตรการหรือกฎหมายใดที่เป็นอุปสรรคและไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือหมดความจำเป็นที่ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและการดำรงชีพของประชาชนโดยไม่ชักช้า

“อยากร้องขอรัฐบาลต้องรับฟังเสียงของภาคธุรกิจโดยตัวแทนจากภาคเอกชน อาทิเช่น สภาหอการค้าฯ สภาอุตสาหกรรมฯ สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และสมาคมธนาคารไทย เป็นต้น เพื่อร่วมกันพลิกฟื้นประเทศไทยและสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคนี้”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :