คอลัมน์ แบรนด์ สตอรีส์ โดย กฤษณ์ ศิรประภาศิริ ([email protected])
ผมเรียกรางวัลที่ GPHG เมือง GENEVA แจกให้กับนาฬิกาสุดยอดใน 14 CATEGORIES ว่า รางวัล OSCAR เหมือนที่คุณสมพล มิ่งขวัญ เจ้าพ่อวงการนิตยสารนาฬิกา ผู้เป็นเจ้าของหัวหนังสือ W-WATCH WORLDWIDE เรียกรางวัลนี้ว่า “ออสการ์แห่งโลกเวลา”
เราเรียก OSCAR เพื่อให้เข้าใจง่าย แต่ความจริง “รางวัล” หาได้เป็น OSCAR “ตุ๊กตาทองคำ” อย่างที่ฮอลลีวูดแจกให้กับดารา-ผู้กำกับ-ผู้เกี่ยวข้อง ในการสร้างภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในแต่ละปี บนเวทีพรมแดง
หากรางวัลของ GPHG เป็น “มือทองคำ” สัญลักษณ์แห่งศักดิ์ศรีเป็นรูปท่อนแขนที่มีมือทองชูนิ้วชี้ขึ้นสู่ฟ้า สีทองอร่ามหรูได้จากวัสดุบรอนซ์หุ้มทอง ออกแบบโดย ROGER PFUND กราฟิกดีไซเนอร์ชื่อดังของเมือง GENEVA ผู้มีผลงานระดับชาติ เพราะเป็นผู้ออกแบบ PASSPORT หนังสือเดินทางของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และธนบัตรอีกหลายแบบ นัยว่าได้รูปทรงของ “มือ
รางวัล” นี้จากภาพจิตรกรรมระดับเทพของ MICHELANGELO
ผู้ออกแบบต้องการสื่อให้เห็นความสำคัญของ “มือ” สัญลักษณ์แห่งทักษะ และความชำนาญซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการประดิษฐ์นาฬิกา
ฉบับที่แล้วผมรายงานว่า AUDEMARS PIQUET รุ่น ROYAL OAK SELFWINDING PERPETUAL CALENDAR ULTRA THIN ได้รับรางวัล GRAND PRIX : AIGUILLE D’ OR GRAND PRIX รางวัลสุดยอดของนาฬิกาที่เข้าประกวดในปีนี้ 2019
ขอให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า เป็นรางวัลยอดเยี่ยมเข็มทองคำ เป็นรางวัลชนะเลิศสูงสุดที่คัดเลือกมาจากเหล่านาฬิกาที่ผ่านเข้ารอบ (PRE SELECTION) จากทั้งหมด 14 ประเภท (84 เรือน) โดยนาฬิกาที่ได้รับรางวัลสุดยอดนี้ หากเป็นผู้ชนะในสาขาของตนด้วย จะต้องสละสิทธิ์รางวัลในสาขานั้นให้กับผู้มีคะแนนในลำดับถัดไป
AUDEMARS PIQUET รุ่นดังกล่าวได้รับการคัดเลือกเข้ามาเป็น 1 ใน 6 ของนาฬิกาดีเด่นประเภท MECHANICAL EXCEPTION ซึ่งก่อนหน้าประกาศรางวัล GRAD PRIX นาฬิกาแบรนด์ GENUS รุ่น GNS 1.2 ได้รับการประกาศให้เป็นผู้ชนะในประเภทดังกล่าว
นั่นหมายถึงว่า ประเภท MECHANICAL EXCEPTION แท้จริงรางวัลผู้ชนะที่ 1 เป็น AUDEMARS PIQUET หากแต่กรรมการต้อง
การให้ได้รับรางวัลสุดยอดของเหล่านาฬิกาทั้งหมด (84 เรือน) จึงเลื่อนอันดับ 2 GENUS ขึ้นมารับแทนในประเภท MECHANICAL EXCEPTION
กฎการตัดสินมีต่อไปว่า BRAND ใดที่ได้รับรางวัล GRAND PRIX ปีนี้ ปีหน้าไม่มีสิทธิส่งนาฬิกาเข้าประกวดอีกแล้ว แต่จะได้รับเชิญให้ส่ง “ตัวแทน” เข้ามาเป็นกรรมการตัดสิน (JURY) โดย “ตัวแทน” นี้ จะเป็น “ผู้ก่อตั้ง” หรือ “CEO” เท่านั้น
ปีนี้กรรมการ (JURY) มี 30 ท่านเป็นตัวแทนจากพิพิธภัณฑ์ นิตยสารนาฬิกา บริษัทที่ปรึกษา (ในด้านธุรกิจนาฬิกา) คนรักนาฬิกา (COLLECTOR) ฯลฯ มีช่างนาฬิกาอิสระไม่สังกัด BRAND ดังอย่าง MASTER PHILIPPE DUFOUR ที่ผมนับถือและได้เคยสัมภาษณ์เป็นกรรมการปีนี้ด้วย
น่าทึ่งที่เป็นช่างนาฬิกาอายุกว่า 60 ปี แต่ยังไม่ต้องใส่แว่น พูดภาษาอังกฤษได้ปร๋อ (ช่างนาฬิกาสวิสส่วนใหญ่พูดภาษาฝรั่งเศส) PHILIPPE DUFOUR เป็นศิลปินอิสระจริงๆ ทำทุกชิ้นส่วนนาฬิกาด้วยมือตนเอง ไม่พึ่งพามีลูกน้อง สารภาพว่าเคยมีลูกมือ 5 คน แต่คิดแล้วทำเองดีกว่า ลูกค้าคนรวยมีเงินเท่าไร ก็ต้องรอ ราคาเฉลี่ยอยู่เรือนละกว่าแสนสวิสฟรังก์ บางรุ่นประมูลกันไปถึงเกือบ 3 แสนCHF ลุง PHILIPPE คุยว่ากว่า 80% ของงานโดนญี่ปุ่นกวาดไปหมด และตนเองฐานะยังไม่ถึงขั้นจะซื้อนาฬิกาที่ตัวเองผลิตเลย
ในโลกที่ “ผันผวน” คนในวงการธุรกิจนาฬิกาส่วนใหญ่อดเป็นห่วงไม่ได้กับอนาคต
คนรุ่นใหม่ จะใส่นาฬิกาหรูดูแพงหรือ คู่แข่งอย่าง SMART WATCH ก็มาแรง ฯลฯ
JEAN CLAUDE BIVER : PRESIDENT ของ LVMH GROUP’S WATCHES DIVISION ค่อนข้างมองโลก (นาฬิกา)ในแง่ดี เขามองว่าอุตสาหกรรมนี้มี INNOVATION และ CREATION เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแล้ว เจออุปสรรคทีไร ก็กลับมายืนได้ แข็งแรงได้กว่าเก่า ตอนนี้ตลาดใหม่อย่าง SOUTH AMERICA และ EASTERN EUROPE ยอดขายเติบโต
ธุรกิจนาฬิกายังไปได้ อนาคตสดใส หากยังรักษาความคิดสร้างสรรค์ กำลังใจที่จะชนะ การบริการ และคุณภาพ
JEAN CLAUDE BIVER เปรียบเทียบยกย่องให้งานนาฬิกาเป็นงาน ART และ ART นี้สัมพันธ์กับความรัก การแสดงออก
ซึ่ง “ความรัก” และ “ความรัก” (LOVE) ไม่มีวันตาย
ดูอย่าง MOZART PICASSO หรือแม้ THE BEATLES พวกนี้ไม่ตาย “ผลงาน” ยังอยู่กับเรา หรือเราจะดูนาฬิกา BIG BEN ก็ได้ ผลงาน “อมตะ” ของมนุษย์ ... สมบัติมีค่าหายาก ... และไม่มี “วันตาย”
หน้า 31 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3526 ระหว่างวันที่ 28 - 30 พฤศจิกายน 2562