จุดเริ่มต้นมาจากการเป็นผู้ใช้งานเวชสำอางที่ถูกผลิตขึ้นจากโรงงานแห่งหนึ่งที่รับจ้างผลิตให้กับเฉพาะแพทย์ทางผิวหนังและสถาบันโรคผิวหนัง ไม่เคยผลิตให้กับบริษัทที่ต้องการนำไปสร้างเป็นธุรกิจ โดยที่ผู้ก่อตั้งและกลุ่มเพื่อนประมาณ 15 คน เป็นผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์จริงแล้วเห็นถึงประสิทธิภาพ จึงเกิดแนวคิดต้องการกระจายผลิตภัณฑ์ที่ดีให้ผู้อื่นได้ใช้ด้วย หลังจากทั้งหมดจึงรวมตัวกันก่อตั้งบริษัทขึ้นมาเมื่อปี 2559 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อได้ใช้งานผลิตภัณฑ์ ซึ่งแต่ละคนก็จะมียอดซื้อของตน พร้อมทั้งนำไปแนะนำให้กับผู้อื่น จนทำให้ผลิตภัณฑ์มียอดจำหน่ายเติบโตอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันภายใต้แบรนด์ “K-KaTE” (เคเคท)
ผลิตภัณฑ์ที่จำเป็น
ชนม์นิภา สันป่าแก้ว ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เคเคท (2016) จำกัด เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทจำหน่ายจะมีเพียงไม่กี่ประเภท โดยจะเลือกเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีความจำเป็นต่อการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น โฟมล้างหน้าที่ทำจากถ่านไม้ไผ่จากญี่ปุ่น ซึ่งจะต้องผ่านกระบวนการเผาโดยใช้ความร้อนสูง เพื่อให้เกิดประจุลบทำปฏิกิริยา โดยจะทำหน้าที่เข้าไปจับอนุมูลอิสระนั้นๆกลายเป็นออกซิเจน ช่วยแก้ปัญหาไขมันอุดตันที่อยู่ใต้ผิวหนังให้ดันตัวออกมาได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีครีมรักษาฝ้า โดยมองเห็นว่าคนไทยเป็นชนชาติที่ต้องประสบพบเจอกับปัญหาฝ้ามากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของเม็ดสี โดยส่วนใหญ่จะนิยมรักษาด้วยการทำเลเซอร์ ซึ่งจะต้องมีค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก บริษัทจึงได้ดำเนินการวิจัยและพัฒนา (R&D) จนได้สูตรพิเศษ ที่สามารถทำให้ฝ้า หรือกระจางลง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน โดยสามารถเห็นผลได้ภายใน 1 อาทิตย์ เป็นต้น
“ผลิตภัณฑ์เวชสำอางจะไม่เหมือนกับเครื่องสำอาง โดยเวชสำอางจะเป็นยาที่ช่วยรักษาผิว รวมถึงฟื้นฟูสภาพผิวให้เหมาะสมตามวัยอย่างที่ควรจะเป็น ขณะที่เครื่องสำอางจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกใช้งานเพื่อสร้างความสวยงามให้กับร่างกาย ซึ่งหากจะเปรียบเทียบเวชสำอางก็คือตัวตึกที่เป็นปูน หรืออิฐคอนกรีตที่ก่อขึ้นมาเพื่อสร้างความแข็งแรงคงทนให้กับบ้านแบบถาวร ขณะที่เครื่องสำอางจะเป็นเหมือนสีทาบ้าน บริษัทจึงเลือกมุ่งเน้นแต่เวชสำอางเป็นหลัก”
ธัญลักษณ์ ทองอินทร์ หัวหน้าฝ่ายขายของบริษัท กล่าวเสริมว่า จุดเด่นของผลิตภัณฑ์แบรนด์ K-KaTE อยู่ที่การคัดสรรวัตถุดิบระดับพรีเมียมมาเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตไม่ว่าจะเป็นแร่ทองคำ หรือถ่านจากไม้ไผ่ โดยจะไม่ผลิตครั้งละมากๆ แต่จะทำตามยอดคำสั่งซื้อที่คาดว่าจะมีเข้ามาในแต่ละเดือน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีความสดใหม่ ตลอดเวลา เพราะบริษัทมีประสบการณ์อยู่แล้วว่าความต้องการของลูกค้าจะมีมากขนาดไหน
ทั้งนี้ สูตรของผลิตภัณฑ์แต่ละประเภทยังเป็นสูตรที่ได้จากแพทย์โดยตรง ยกตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด ซึ่งสามารถป้องกันแดดได้มากกว่าค่า SPF ที่ระบุไว้ เนื่อง จากจะต้องทำตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำหนดในการบอกสรรพคุณของผลิตภัณฑ์ เป็นต้น โดยปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ประกอบด้วย เซรั่มผลัดเซลล์ผิวหน้า, เซรั่มบำรุงผิวหน้า, ครีมกันแดดนาโน, ครีมกันแดดผสมสีเบส, ครีมฝ้า และโฟมล้างหน้าจากถ่านไม้ไผ่
ปรับกลยุทธ์เพื่อเข้าถึงลูกค้า
ชนม์นิภา กล่าวต่อไปอีกว่า กลุ่มลูกค้าของแบรนด์ K-KaTE จะเป็นกลุ่มที่มีรายได้ระดับกลางจนถึงระดับบน เนื่องจากผลิตภัณฑ์เป็นแบบพรีเมียม แต่บริษัทเองพยายามนำเสนอในราคาที่สัดส่วนมากกว่า 30% โดยเลือกที่จะจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก, เว็บไซต์, ไลน์ และการใช้เครือข่ายส่วนตัวของหุ้นส่วนแต่ละคน
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันแบรนด์ได้มีการปรับกลยุทธ์โดยมีทีมขายเพื่อเข้าหาลูกค้าโดยตรง ซึ่งจะช่วยเรื่องการทำให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสรับฟังข้อมูลถึงสรรพคุณ และได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ อีกทั้งยังมีการปรับแพ็กเกจให้มีขนาดเล็กลงในส่วนของผลิตภัณฑ์รักษาฝ้า โดยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมจากลูกค้า ซึ่งเดิมทีจะมีแต่กระปุกขนาดใหญ่ เพื่อให้ลูกค้าที่มีรายได้ไม่สูงมากได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ โดยมั่นใจว่าลูกค้าจะกลับซื้อแบบกระปุกใหญ่เมื่อใช้แล้วเห็นผลจริง นอกจากนี้แบรนด์ยังดำเนินการเรื่องการเพิ่มตัวแทนจำหน่ายในต่างจังหวัด เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ได้กระจายไปสู่กลุ่มลูกค้าเพิ่มมากขึ้น
ตั้งเป้าเติบโตทุกปี
ธัญลักษณ์ กล่าวว่า ตลาดทาง ด้านเครื่องสำอางยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใดคนก็ต้องรักสวยรักงาม โดยไม่ใช่เฉพาะแค่เพียงผู้หญิง แต่ผู้ชายก็หันมาให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากผู้ประกอบการที่เข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก เพื่อชิงส่วนแบ่งทางการค้า โดยสิ่งที่ทำให้ K-KaTE มีความแตกต่าง คือคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่แบรนด์จะคำนึงถึงอยู่เสมอ ด้วยชื่อของแบรนด์ที่มีต้นกำเนิดมาจากตัวย่อของผู้ก่อตั้งและแฟน ดังนั้น ทุกอย่างจะต้องดีเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบมาถึงชื่อเสียง
“ผู้ประกอบการรายอื่นอาจจะมุ่งเน้นความเป็นแมสโปรดักต์ (Mass) โดยจะต้องมีกำไรมาก ซึ่งส่งผลให้เกิดการรุกตลาดอย่างหนัก การแข่งขันกันลดราคาเพื่อจำหน่าย แต่เราจะไม่ลดราคาเพื่อแข่งขัน เพราะผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ 99.99% เรามั่นใจว่าพอใจ และยินดีจะใช้”
สำหรับเป้าหมายของบริษัทนั้น ทุกปีจะต้องเติบโตแต่จะไม่โตแบบตูมตาม โดยปีนี้เชื่อน่าจะโตกว่าปีที่แล้วประมาณ 30% ซึ่งในทุกปีบริษัทจะพยายามรักษาระดับในการเติบโต โดยการตั้งเป้าของบริษัทคือการกระจายผู้ใช้ให้มากขึ้น เพราะการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้ก็คือยอดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป้าหมายของการขึ้นสู่จุดสูงสุดของธุรกิจแต่ละผู้ประกอบการจะไม่เหมือนกัน โดยบริษัทจะมุ่งเน้นการรักษาระดับให้คงที่และเพิ่มขึ้นเท่านั้น ไม่มีตกลงจากวันแรกที่ก่อตั้ง
“เจ้าของธุรกิจเลือกทำธุรกิจแบบที่มีความสุข ทั้งกายและใจ เพราะฉะนั้นคำแนะนำที่มอบให้กับพนักงานก็คือทุกคนเริ่มทำงานอย่างมีความสุขก่อน หากมีความชอบแล้วก็จะสามารถทำงานออกมาได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องคำนึงถึงเป้าว่าจะต้องได้เท่าไหร่ โดยเชื่อว่าเมื่อทุกอย่างถูกทำออกมาจากภายใน จุดหมายปลายทางของความสำเร็จก็อยู่อีกไม่ไกล”
หน้า 8 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3501 วันที่ 1-4 กันยายน 2562