กรมสบส. ชี้“ดีท็อกซ์” จัดอยู่ในประเภทกิจการสปาเพื่อสุขภาพ ต้องขึ้นทะเบียนตามกฎหมาย!
Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่
วันนี้ (23 มีนาคม 2559) นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กรม สบส. ได้ส่งเจ้าหน้าที่กองกฎหมายและเจ้าหน้าที่สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ เข้าตรวจสอบสถานปฏิบัติธรรมเป็นการด่วน ซึ่งการล้างพิษ หรือดีท็อกซ์ถือว่าเป็นการแพทย์ทางเลือก จัดอยู่ในประเภทกิจการสปาเพื่อสุขภาพ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ว่าด้วยการกำหนดสถานที่เพื่อสุขภาพหรือเพื่อเสริมสวย มาตรฐานของสถานที่การบริการ ผู้ให้บริการ หลักเกณฑ์ และวิธีการตรวจสอบเพื่อการรับรองให้เป็นไปตามมาตรฐาน สำหรับสถานที่เพื่อสุขภาพหรือเพื่อเสริมสวย ตามพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ.2509 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2547 เป็นต้นมา
ซึ่งบริการประเภทนี้ประกอบด้วยการนวดเพื่อสุขภาพและการใช้น้ำเพื่อสุขภาพ โดยอาจมีบริการอื่นเสริมด้วย เช่น การอบไอน้ำเพื่อสุขภาพ การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ โภชนบำบัดและการควบคุมอาหาร โยคะและการทำสมาธิ การใช้สมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ตลอดจนการแพทย์ทางเลือกอื่นๆ สถานที่ให้บริการต้องขึ้นทะเบียนกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ หากตรวจสอบพบว่าไม่มีการขึ้นทะเบียน แสดงว่าเป็นสถานประกอบการเถื่อน ขอความร่วมมือประชาชนหากพบว่ามีการให้บริการดีท็อกซ์ในสถานที่ที่ไม่ใช่สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ หรือสถานพยาบาล ให้แจ้งที่สายด่วน สบส. 02-193-7999 หรือเฟซบุ๊คสารวัตรสถานพยาบาลออนไลน์ ,เฟซบุ๊คมือปราบสถานพยาบาลเถื่อน
นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง กล่าวต่อว่า ขณะนี้ กรม สบส. ได้จัดทำร่างกฎหมาย “พ.ร.บ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ.2559” สำเร็จแล้ว อยู่ระหว่างลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผลบังใช้ประมาณเดือนตุลาคม 2559 เพื่อควบคุมมาตรฐานความปลอดภัยในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพทั้ง 3 ประเภท ซึ่งไม่ได้เป็นการรักษาโรค ได้แก่ 1.กิจการสปา 2.กิจการนวดเพื่อสุขภาพ 3.กิจการนวดเพื่อเสริมความงาม รวมถึงกิจการอื่นๆเพื่อสุขภาพ กิจการทั้งหมดนี้จะต้องขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายทั้งผู้รับอนุญาต ผู้ดำเนินการ และผู้ให้บริการ จะต้องเป็นไปตามมาตรฐานมีวุฒิบัตร หรือประกาศนียบัตรด้านการบริการเพื่อสุขภาพที่ได้รับการรับรองจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และห้ามมิให้มีการโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณของบริการเพื่อสุขภาพว่าสามารถบำบัด รักษาหรือป้องกันโรคได้ทุกชนิด
ด้านทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กล่าวว่า ในปี 2558 ประเทศไทยมีสถานประกอบการเพื่อสุขภาพที่ได้รับรองมาตรฐานแล้วรวมทั้งหมด 1,609 แห่ง ประกอบด้วยสปา 509 แห่ง นวดเพื่อสุขภาพ 1,070 แห่ง นวดเพื่อเสริมสวย 30 แห่ง โดยอยู่ในส่วนภูมิภาค 1,265 แห่ง ที่เหลืออีก 344 แห่งอยู่ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งในช่วง 6 เดือน ที่รอกฎหมายฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ สำนักสถานพยาบาลฯ จะดำเนินการจัดเตรียมตั้งคณะกรรมการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ซึ่งมีผู้แทนจากหน่วยงานทั้งใน และนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริการเพื่อสุขภาพ รวมทั้งสิ้น 13 คน โดยมีปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน เพื่อกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ในการส่งเสริมพัฒนาสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ รวมทั้งหลักเกณฑ์การรับรองคุณวุฒิผู้ดำเนินการและผู้ให้บริการนอกจากนี้จะจัดอบรมชี้แจงผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎหมายได้ทันทีเมื่อมีผลบังคับใช้