‘เอสทีซี กรุ๊ป’ งัดแผน สู้ศึกส่งออกข้าวขาลง

28 ก.พ. 2562 | 04:22 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ก.พ. 2562 | 12:27 น.
สัมภาษณ์

เอสทีซี กรุ๊ป” หนึ่งในกลุ่มบริษัทเกษตรอุตสาหกรรมชั้นนำของเมืองไทย ที่มีจุดเริ่มต้นจากธุรกิจส่งออกสินค้ามันสำปะหลังในปี 2517 ก่อนขยายสู่ธุรกิจส่งออกข้าวในเวลาต่อมาในนามบริษัท นครหลวงค้าข้าว จำกัด ที่วงการรู้จักกันดี จากเป็นบริษัทส่งออกข้าวชั้นนำของประเทศ เคยทำสถิติสูงสุดในปี 2554 กว่า 2 ล้านตัน ปัจจุบันเครือได้แตกหน่อธุรกิจออกเป็น 8 กลุ่ม (กราฟิกประกอบ) รวมกว่า 20 บริษัท

ส่งออกข้าว-มันลดลง

นายวัลลภ พิชญ์พงศา รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจข้าว เครือเอสทีซี คีย์แมนคนสำคัญ เผยในการให้สัมภาษณ์กับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ในปี 2561 เครือสามารถทำยอดขายได้ 2.42 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปีก่อนประมาณ 7% ผลจาก 2 ปัจจัยหลักคือ 1. กลุ่มธุรกิจข้าว ซึ่งเป็นรายได้หลักสัดส่วน 85% ของเครือ มียอดขายที่ลดลง (ส่งออกได้ 1.5 ล้านตัน จากปีก่อน 1.7 ล้านตัน) เป็นผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท และเป็นไปตามทิศทางการส่งออกข้าวของประเทศที่ส่งออกในปี 2561 ได้ 11 ล้านตัน ลดลงจากปีก่อนที่ส่งออกได้ 11.7 ล้านตัน 2. จากการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (สัดส่วน 7% ของรายได้) ลดลง จากตลาดหลักคือจีนลดการนำเข้า และมีคู่แข่งธุรกิจเพิ่มขึ้นจากลานมันที่ผันตัวเองมาเป็นผู้ส่งออก และมีผู้ประกอบการจากจีนเข้ามาทำธุรกิจซื้อขายและส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเองในไทย

[caption id="attachment_394692" align="aligncenter" width="335"] วัลลภ พิชญ์พงศา วัลลภ พิชญ์พงศา[/caption]

“รายได้หลักของเครือยังมาจากการส่งออกข้าว ซึ่งแต่ละปีจะตั้งเป้าไว้สัดส่วน 15% ของการส่งออกข้าวในภาพรวมของประเทศ ซึ่งปีที่แล้วไทยส่งออกข้าวลดลง ทำให้เราส่งออกได้ลดลงตามสัดส่วน ผลจากเงินบาทที่แข็งค่า ทำให้รายได้รูปเงินบาทลดลง อีกส่วนหนึ่งจากข้าวเก่าในสต๊อกรัฐบาลได้ถูกระบายออกมาหมดแล้ว ทำให้ตลาดข้าวเก่าส่งออกได้ลดลง และผลจากมีโรงสีผันตัวเองมาเป็นผู้ส่งออก แย่งแชร์ตลาดไป”

โชว์แผนสู้ศึกปี 62

สำหรับในปี 2562 กลุ่มธุรกิจข้าว (มี 4 บริษัท) คาดจะส่งออกได้ประมาณ 1.4 ล้านตัน จากที่ทางสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยตั้งเป้าปีนี้ไว้ที่ 9.5 ล้านตัน ซึ่งปีนี้คาดจะเหนื่อยกว่าปีก่อนในการส่งออกข้าว เพราะมีปัจจัยเสี่ยงอยู่มาก ที่สำคัญได้แก่ เงินบาทที่แข็งค่ามากกว่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาค ทำให้ราคาข้าวไทยสูง และขายยากขึ้นเมื่อเทียบราคาข้าวคู่แข่งจากเวียดนาม อินเดียที่เงินอ่อนค่า และราคาถูกกว่า ขณะที่จีนได้ระบายสต๊อกข้าวเก่า(มีกว่า 190 ล้านตัน) ออกมาขาย แย่งตลาดข้าวในแอฟริกา ล่าสุดรัฐบาลเตรียมปรับค่าแรงทั่วประเทศขึ้นอีก จะทำให้ทางกลุ่มมีภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น TP13-A

“การส่งออกข้าวปีนี้ต้องแข่งขันกันสูงทั้งแข่งกับผู้ส่งออกไทยด้วยกันเอง แข่งกับประเทศอื่น จึงเป็นปีที่อยู่ในโหมดรักษาสถานภาพ หรือเมนเทนยอดรายได้ไว้ ปีนี้อาจไม่สดใสเท่าไหร่ แต่ปัจจัยบวกก็ยังมี เช่น ข้าวจีทูจีไทย-จีน 1 ล้านตัน ที่ส่งมอบแล้ว 7 แสนตัน เหลืออีก 3 แสนตันที่รอเจรจาราคา หากตกลงกันได้ผู้ส่งออกก็จะได้อานิสงส์ในการส่งมอบด้วย”

จากปัจจัยเสี่ยงที่มีอยู่มากและอาจส่งผลถึงรายได้ ทางเครือมีกลยุทธ์ในการรักษาความสามารถในการแข่งขันที่สำคัญในปีนี้คือการรักษาฐานลูกค้าข้าวเดิมเอาไว้ให้ได้ การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์คือโรงสีกับหยงที่หาข้าวให้บริษัท การขยายธุรกิจร่วมทุนในส่วนของโรงงานผลิตและจัดจำหน่ายแป้งสาลี ที่จะขยายกำลังผลิตส่งออกให้มากขึ้น การขยายกลุ่มธุรกิจการค้า ในส่วนของผลิตภัณฑ์สาหร่ายซีลีโกะ ข้าวและผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกอื่นๆ ที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จำหน่ายในช่องทางต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศให้มากขึ้น การหาพันธมิตรร่วมดำเนินการพัฒนาธุรกิจบริการท่องเที่ยวที่พักแรม ที่เครือมีรีสอร์ต และที่ดินอยู่ที่ จ.กาญจนบุรี กว่า 300 ไร่ เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ช่วยสร้างรายได้ให้มากขึ้น

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับ 3,448 วันที่ 28 กุมภาพันธ์-2 มีนาคม 2562

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว