EIC ลุยธุรกิจอาหาร หลังเข้าซื้อ Baked Cheese tart หรือ Bake มั่นใจพลิกฟื้นกิจการได้ แถมผู้ถือหุ้นเดิม ใช้สิทธิหุ้นเพิ่มทุนเกือบ 100% ตุนเงิน 300 ล้านบาทเสริมสภาพคล่อง
สัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัท อุตสาหกรรม อีเล็คโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ EIC รายงานผลการเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม(RO) ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ จากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 6,339.8 ล้านหุ้น ในอัตรา 1 หุ้นเดิม ต่อ 2 หุ้นใหม่ ราคาหุ้นละ 0.05 บาท ซึ่งสามารถจำหน่ายได้ถึง 6,221.4 ล้านหุ้น หรือราว 98% จากจำนวนหุ้นที่เสนอขายทั้งหมด คิดเป็นเงิน 311.07 ล้านบาท
การเพิ่มทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมเกือบ 100% ครั้งนี้ ถือเป็นใบเบิกทางจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมโดยตรง สะท้อนให้เห็นถึงการสนับสนุนและความเชื่อมั่นในทีมงานผู้บริหารและนโยบายโครงสร้างธุรกิจใหม่ นอกจากนั้นผู้บริหารมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าธุรกิจอาหารจะเป็นปัจจัยที่สำคัญสำหรับการเติบโตของบริษัทในอนาคต
นายศิรัตน์ รัตนไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน EIC กล่าวว่า การเข้าซื้อบริษัท เบค ชีส ทาร์ต (ประเทศไทย) จำกัด (“เบค”) ถือเป็นการผันตัวเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารครั้งแรกของ EIC และเป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับบริษัท แม้ว่า ธุรกิจอาหารจะเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงและมีความผันผวนมาก แต่เป็นความผันผวนในระยะสั้นๆ ถ้าพิจารณาถึงอัตราการเติบโตที่ผ่านมาจะเห็นว่า เติบโตอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจที่มีความน่าสนใจมากเนื่องจากเป็นธุรกิจเงินสด ทำให้บริษัทมีสภาพคล่องที่ดี และยังเป็นธุรกิจที่ไม่จำเป็นต้องใช้แหล่งเงินทุนในการขยายมากนัก ทำให้บริษัทมี sunk cost น้อย
“วันนี้เรามีความพร้อมเป็นอย่างยิ่งที่จะเติบโตในธุรกิจอาหาร โดยเราได้รับมาทั้งทีมงานและบุคลากรที่มีศักยภาพ และเครือข่าย Connection กับห้างชั้นนำจากเบค และบริษัทยังมีแหล่งเงินทุนที่ได้รับจากการเพิ่มทุนสำหรับการขยายสาขาและการทำ Marketing ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้ธุรกิจอาหารประสบความสำเร็จ ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการธุรกิจอาหารส่วนใหญ่ที่ไม่ประสบความสำเร็จ หรือประสบความสำเร็จเพียงช่วงเวลาสั้นๆ และก็เลิกกิจการไป มักเกิดจากการที่มีปัจจัยเหล่านี้ไม่ครบถ้วนหรือไม่แข็งแกร่งเพียงพอ”นายศิรัตน์กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทอยู่ระหว่างการเริ่มดำเนินตามแผนธุรกิจใหม่ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการเตรียมงานและดำเนินงานช่วงหนึ่ง โดยคาดว่าจะลงตัวและมีความชัดเจนในช่วงไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 3 ซึ่งหากบริษัทสามารถทำตามแผนที่วางไว้ได้สำเร็จ ทางทีมผู้บริหารมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้บริษัทมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญต่อไป