เชื่อมการค้า-ลงทุน
สัมภาษณ์
หลังจากที่ครํ่าหวอดอยู่ในวงการธุรกิจ ในประเทศเมียนมามานาน ในฐานะผู้จัดจำหน่ายสินค้าเครื่องดื่มชูกำลังกระทิงแดง ปลากระป๋องตรา 3 แม่ครัว รวมถึงสินค้าอื่นๆ อีกมากมาย มองเห็นอุปสรรคในการเข้าไปทำการค้าการลงทุนของคนไทยในเมียนมา
จากเหตุผลดังกล่าวทำให้ กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์ ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา ที่เพิ่งตอบรับตำแหน่งนี้มาสดๆ ร้อนๆ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ให้สัมภาษณ์ผ่าน “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงบทบาทและภารกิจของสภาธุรกิจไทย-เมียนมา ด้านการค้าการลงทุนระหว่างไทย และเมียนมาอย่างน่าสนใจ
โดยประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา กล่าวว่า จากประสบการณ์ ที่ใช้ชีวิตด้านการค้าการลงทุนอยู่ในเมียนมามานาน ก็คิดว่าวันนี้เราน่าจะทำอะไรเพื่อประเทศไทยบ้าง พอดีเป็นจังหวะที่ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) (นายสุพันธุ์ มงคลสุธี) มาทาบทามให้มารับเก้าอี้ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตามวาระ 2 ปี (1 กันยายน-30 มิถุนายน 2563)
“ผมตัดสินใจรับบทบาทนี้ เพราะมองว่าโดยส่วนตัวเป็นนักธุรกิจที่ทำการค้าอยู่แล้ว จะเป็นโอกาสช่วยการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับเมียนมาได้ เพราะมีบริษัทจัดจำหน่ายสินค้าด้วยพนักงานเกือบ 200 คน มีรถให้บริการด้านโลจิสติกส์ราว 32 คัน และมีเครือข่ายลูกค้าในสินค้าอุปโภค บริโภคอยู่ทั่วเมียนมามากกว่า 10,000 ราย ก็น่าจะสร้างโอกาสความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับเมียน มาให้เกิดประโยชน์มากขึ้น”
เดินหน้าลุยแผนงาน
สำหรับบทบาทประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมานั้น สิ่งที่เตรียมวางแผนไว้โดยกำหนดเป็นแผนงานมีด้วยกัน 7 แผนงาน ยกตัวอย่างเช่น การเดินหน้าโครง การตั้ง “ศูนย์ไทย-เมียนมา เทรด เซ็นเตอร์” ที่ย่างกุ้ง ใช้งบในการพัฒนา ตกแต่งอาคารทั้งภายในภายนอกราว 11 ล้านบาท ในพื้นที่อาคารสูง 5 ชั้น ขนาด 1,000 ตารางเมตร มีระยะเวลาเช่าอาคาร 10 ปี เซ็นสัญญาเช่าอาคารกับนักธุรกิจเมียนมาไปแล้วเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
อาคารดังกล่าว จะสร้างโอกาส และประโยชน์ ที่เกิดจากการค้าการลงทุน ซึ่งจะเป็นเฟืองจักรส่วนหนึ่งที่ช่วยให้การค้าการลงทุนระหว่าง 2 ประเทศเติบโตไปพร้อมกัน โดยจัดสรรพื้นที่อาคาร 5 ชั้น ให้บริการด้านต่างๆ
ดึง168บริษัทไทยโชว์สินค้า
เริ่มจากชั้นที่ 1 จะเป็นสถานที่โชว์สินค้าจากสินค้าไทยจำนวน 168 บริษัท รวมประเภทสินค้า 14 กลุ่ม เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ยารักษาโรค เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องสำอาง เครื่องนุ่งห่ม และสินค้าอุปโภค บริโภคทั้งหลายส่วนชั้นที่ 2 เปิดเป็นลานกิจกรรม การแสดงสินค้าสำหรับโชว์ให้ลูกค้าเมียนมารับรู้สินค้าไทยและสินค้าไทยรู้จักสินค้าที่ผลิตใน เมียนมามากขึ้น โดยจะเป็นพื้นที่ให้บริการแก่ผู้ประกอบการไทยและเมียนมาสลับกันทุกเดือน โดยมุ่งเน้นที่สินค้าชุมชน สินค้าโอท็อป โดยด้านหลังของชั้นที่ 2 จะถูกจัดเป็นสถานที่โชว์สินค้าของเมียนมาที่สามารถโชว์สินค้าได้ถึง 100 บริษัท
สำหรับชั้นที่ 3 จะมีห้องดาต้าเบส ของสมาชิกสภาธุรกิจไทย-เมียนมาที่มีรวมกัน 30,000 ราย ที่มาจากสมาชิกในหอการค้า ไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) รวมถึง สภาหอการค้าของเมียนมา (UMFCCI) ที่มีบทบาทคล้ายกับหอ การค้าไทยและส.อ.ท. จะมารวมอยู่ในห้องดาต้ารูม และมีห้องสำหรับวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ สามารถประชุมสายร่วมกันได้ และมีการเจรจาจับคู่ทางธุรกิจ โดยมีเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ฝั่งและสถาบันการเงินในประเทศเมียนมา มาร่วมเป็นสักขีพยานในการจับคู่ทางธุรกิจ เมื่อจับคู่กันได้แล้ว ก็มีการเซ็นสัญญาร่วมทุนและค้าขายกันต่อไป
นอกจากนี้ในชั้นนี้ยังมีห้องอี-คอมเมอร์ซ ค้าขายผ่านออนไลน์ เพื่อเป็นการยกระดับการค้าให้ทันกับกระแสโลก รวมถึงมีห้องสัมมนาขนาดใหญ่สำหรับจัดสัมมนาเชิงวิชาการ
ส่วนที่ชั้น 4 จะเป็นพื้นที่สำหรับให้บริการงานด้านต่างๆ เช่น งานด้านกฎหมาย บัญชี โลจิสติกส์ ธนาคาร ซอฟต์แวร์ บริษัทก่อสร้าง บริการล่าม และงานด้านโฆษณา รวมถึงชั้นที่ 5 มีห้องเล็กๆ สำหรับนักธุรกิจไทยที่เข้ามาลงทุนในเมียนมา ก็สามารถมาใช้บริการเป็นการชั่วคราวได้ไม่เกิน 6 เดือน โดยคิดค่าบริการในอัตราที่ตํ่า นอก จากนั้นเป็นแผนงานอื่นๆ เป็นต้น
สร้างโอกาสร่วมกัน
ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา กล่าวอีกว่า การตั้งศูนย์ดังกล่าวขึ้นมาเพื่อสะท้อนให้ เห็นภาพว่าในอดีตทำการค้าในเมียนมาต้องเผชิญกับอุปสรรคต่างๆ แต่ถ้าเดินเข้ามายังศูนย์แห่งนี้จะตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาด้านต่างๆ ให้กับผู้ประกอบการทุกกลุ่ม รวมถึงต้องการเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างประเทศไทย-เมียนมาให้มากขึ้น
โดยปัจจุบันมีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศไทย-เมียนมาประมาณ 96,000 ล้านบาทต่อปี และคาดว่าการมี “ศูนย์ไทย-
เมียนมา เทรด เซ็นเตอร์” นี้ จะทำให้มูลค่าการค้าเติบโตอย่างน้อย 20% ต่อปี นับตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ในปัจจุบันนี้ไทยเกินดุลการค้าเมียนมาอยู่ประมาณ 80% ของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ (มูลค่าการค้าระหว่างประเทศ 96,000 ล้านบาทต่อปี) ดังนั้นเราจะต้องการสร้างมูลค่าการค้าให้ใกล้เคียงกัน ไม่มีใครได้เปรียบ เสียเปรียบ
ผลสะท้อนกลับ
นอกจากนี้การมี “ศูนย์ไทย-เมียนมา เทรด เซ็นเตอร์” ยังมีค่าเช่าพื้นที่จาก 168 บริษัท โดยเก็บค่าเช่าราว 5,000 บาทต่อเดือนต่อราย มีรายได้จากงานด้านอี-คอมเมิร์ซ จากบริษัทที่สนใจค้าขายผ่านออนไลน์ จำนวน 2,000 บาทต่อเดือนต่อราย โดยรวมตั้งเป้าว่าศูนย์ดังกล่าวจะมีรายได้ต่อเดือนราว 1.5 ล้านบาท มีรายจ่ายประมาณ 1 ล้านบาทต่อเดือน ดังนั้นส่วนต่างจำนวน 5 แสนบาทต่อเดือนนั้น จะนำมาตั้งเป็นกองทุนไทย-เมียนมา เทรด เซ็นเตอร์ ใครก็ไม่สามารถเบิกได้ ยกเว้นกรณีเหตุฉุกเฉิน เช่น เกิดปัญหาภัยพิบัติ คณะกรรมการก็จะเบิกเพื่อนำไปใช้บรรเทาภัยพิบัติเหล่านั้นได้
นอกจากนี้บริษัทออร์แกไนซ์ยังสามารถพาผู้ประกอบการไทยที่สนใจ ทำการค้าหรือลงทุนในเมียนมา ก็มาใช้พื้นที่ดังกล่าวนี้ได้ด้วยค่าบริการอัตราพิเศษ
“นับตั้งแต่ต้นปี 2562 ศูนย์ไทย-เมียนมา เทรด เซ็นเตอร์จะเริ่มเปิดให้บริการ โดยศูนย์แห่งนี้จะกลั่นกรองให้ด้วยว่าธุรกิจนั้นๆ จะออกมาโกอินเตอร์นอกประเทศไทยได้หรือไม่ หรือสินค้าเมียนมาจะออกไปขายยังตลาดส่งออกได้หรือไม่อย่างไร ศูนย์แห่งนี้จะมีคำตอบให้”
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,419 วันที่ 18-21 พฤศจิกายน 2561