รองนายกรัฐมนตรีสมคิดเจรจาขอความร่วมมือ ตลท.แบ่งเงินจากองทุนมาช่วยสนับสนุนเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ ชี้ 2-3 ปีต้องมีกระดานสำหรับสตาร์ทอัพ หวังให้เป็นช่องทางเข้าถึงเงินทุน ด้านธนาคารออมสินพร้อมเป็นศูนย์กลางทางด้านแหล่งเงินทุนที่ช่วยต่อยอด
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการขอความร่วมมือจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จัดสรรงบจากกองทุน ตลท. มาสนับสนุนกลุ่มเอสเอ็มอี และสตาร์ทอัพ (Startup) โดยจะเป็นกองทุนใด หรือได้เม็ดเงินจำนวนเท่าใดนั้น ยังไม่สามารถระบุรายละเอียดได้ แต่เชื่อว่า ตลท. จะช่วยอย่างแน่นอน โดยขั้นตอนล่าสุดเรียกว่าเป็นการเจรจาให้ทาง ตลท. เข้ามาช่วย ซึ่งประเด็นที่สำคัญก็คือต้องการให้ ตลท. เข้าใจในวัตถุประสงค์ หรือแนวทางที่จะพัฒนาต่อไปในอนาคต
“ล่าสุดเท่าที่ได้หารือกับ ตลท. นั้น ได้เริ่มทำการทดสอบระบบปฏิบัติการ หรือแพลตอฟอร์ม (Platfrom) ให้ผู้ที่ต้องการมีธุรกิจใหม่ได้เข้ามาทดสอบแล้ว และปัจจุบันก็จะเห็นว่ามีกลุ่มสตาร์ทอัพอยู่เป็นจำนวนมากที่มีความคิดสร้างสรรค์ที่ดีที่สามารถขายได้ อย่างไรก็ตามใน 2-3ปีข้างหน้าตนต้องการเห็นแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ หรือเรียกว่าเป็นกระดานหลักของทุนสตาร์ทอัพ โดยมุ่งหวังให้เป็นจุดเริ่มต้นให้ธุรกิจขนาดเล็ก หรือกลุ่มสตาร์ทอัพให้ได้รับเงินช่วยเหลือจากองค์กรต่างๆ แต่ในอนาคตข้างหน้าจะต้องยกเว้น หรือเวฟเงินจาก ตลท. โดยได้มีการบอกล่าวกับทางผู้บริหาร ตลท. เรียบร้อยแล้ว และก็รับที่จะประสานให้ต่อไป เพื่อให้เกิดธุรกิจดังกล่าวแบบนี้อีกเป็นหมื่นเป็นแสน ไม่ใช่ฉพาะแค่เด็กในเมือง แต่รวมไปถึงเกษตรกรที่อยู่ต่างจังหวัดด้วย”
นายสมคิดยังได้กล่าวในงาน GSB Smart SMEs Smart Startup 2018 ด้วยว่า การทำธุรกิจในยุคปัจจุบันยังทำง่ายกว่าในยุคอดีตที่จะต้องอาศัยแหล่งเงินทุนจากภาคสถาบันการเงินเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้ผู้ประกอบการยังสามารถใช้การระดมทุนจาก Angel investor หรือผู้ที่สนใจในไอเดียธุรกิจเข้ามาร่วมลงทุน สามารถสร้างธุรกิจบนโลกอินเตอร์เน็ตได้ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อให้เป็นการเพิ่มศักยภาพ ที่มีอยู่หลายหน่วยงานทั้งภาครัฐเอกชนและสถาบันการศึกษา เข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยกันพัฒนาธุรกิจเอสเอ็มอี และสตาร์ทอัพ โดยเฉพาะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐอย่างธนาคารออมสิน ที่ไม่ใช่มีวัตถุประสงค์เพียงแค่การออมเงินเท่านั้น แต่จะต้องนำเงินกลับไปสู่ประชาชนด้วยผ่านการอนุมัติสินเชื่อเพื่อการทำธุรกิจ เป็นการสร้างโอกาสการเติบโตให้กับนักลงทุนหน้าใหม่ๆ และเหนือสิ่งอื่นใดภาครัฐไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหน จะต้องขับเคลื่อนประเทศไปสู่เศรษฐกิจแบบ Digital อย่างเต็มรูปแบบ ให้เร็วที่สุด โดยเริ่มจากการพัฒนาโครงสร้าง ทางโทรคมนาคม 5g ที่จะต้องเกิดขึ้นให้ได้ภายใน 2 ปีนี้ จึงจะเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ภาคธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน
“ประเทศไทยเป็นประเทศที่ยากจน เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน มีบริษัทขนาดใหญ่ที่แข็งแรงอยู่เพียงไม่กี่เเห่ง อีกทั้งบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่น้อย ที่เหลือเป็นเอสเอ็มอีขนาดย่อมที่ไม่แข็งแรง จนไม่สามารถท้าชิงตลาดกับผู้ประกอบการที่ครองตลาดมาก่อนอยู่แล้ว ซึ่งโครงสร้างเศรษฐกิจรูปแบบนี้ไม่มีทางเลยที่จะทำให้ประเทศเติบโตได้อย่างยั่งยืน ถึงแม้ว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ GDP จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็เป็นการสะท้อนถึงการเติบโตที่เป็นเส้นตรง ไม่ได้สะท้อนถึงความลึกของโครงสร้างภายในประเทศอย่างสมบูรณ์ แต่เพราะเป็นอัตราที่ใช้วัดเเบบเป็นสากลจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยจากการที่ได้ศึกษาโมเดลทางเศรษฐกิจของประเทศอิสราเอล ที่เป็นเพียงแค่ประเทศขนาดเล็กและมีประชากรอยู่น้อย แต่สามารถกลายเป็นประเทศที่มีการเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง จากการนำเทคโนโลยีมาใช้ในเชิงพาณิชย์ จนสามารถสร้างสตาร์ทอัพใหม่ๆ ได้ ซึ่งบริบทประเทศไทย ไม่ควรจำกัดความ Startup อยู่เพียงแต่เด็กรุ่นใหม่ หรือ ธุรกิจที่เป็น Hitech เท่านั้น ประกอบกับประเทศไทยมีความได้เปรียบในเรื่องของภาคการท่องเที่ยว และภาคการเกษตร ที่มีสัดส่วน การเติบโตสูงเป็นอันดับต้นๆของภูมิภาคอาเซียน”
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า การจัดงาน GSB Smart SMEs Smart Startup 2018 ก็เพื่อต้องการสร้างเสริมเอสเอ็มอี และสตาร์ทอัพไทย เพื่อเข้าสู่โลกของดิขิทัล โดยมุ่งหวังให้มีการพัฒนาศักยภาพกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้เป็นผู้ประกอบการที่มีคุณภาพ กล้าคิด กล้าทำ และกล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่ โดยใช้จุดแข็งของเอสเอ็มอี และสตาร์ทอัพมาเกื้อหนุนและส่งเสิรมซึ่งกันและกัน เพื่อผลักดันให้กลุ่มคนรุ่นใหม่สามารถทำธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ธนาคารจะเป็นศูนย์กลางทางด้านแหล่งเงินทุนที่ช่วยต่อยอด และผลักดันธุรกิจเอสเอ็มอี และสตาร์ทอัพให้เติบโตอย่างมั่นคง และก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการ 4.0