เจ.วอลเตอร์ฯชี้เศรษฐกิจปีวอกงานหิน เอเยนซีเจอโจทย์ยากมากขึ้น

15 ก.พ. 2559 | 06:00 น.
อัปเดตล่าสุด :15 พ.ค. 2559 | 14:57 น.
เจ. วอลเตอร์ ธอมสัน ชี้ปี 59 เศรษฐกิจโลกระส่ำเอเยนซีเจอโจทย์ใหญ่และท้าทาย นักการตลาดและแบรนด์สินค้าเข้มต่อการใช้สื่อ ขณะที่กลุ่มเป้าหมายผู้สูงอายุและชายรักชายมีกำลังซื้อสูง แบรนด์สินค้าควรนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการตอบโจทย์

นางสาวปรัตถจริยา ชลายนเดชะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ. วอลเตอร์ ธอมสัน ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2559 เป็นปีที่เอเยนซีทั่วโลกทำงานหนักและลำบากมากขึ้นกว่าปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลต่อผู้บริโภคและองค์กร บริษัท ร้านค้าต่างๆ เช่นเดียวกับประเทศไทยในปีนี้ นักการตลาดหรือแบรนด์สินค้าต่างๆ จะเริ่มตัดงบโฆษณากันมากขึ้น เนื่องจากนักการตลาดต้องใช้หลักการการซื้อสื่อแบบมีเหตุและผล โดยพิจารณารอบด้านพร้อมเปรียบเทียบว่าสื่อประเภทใดจะใช้ประโยชน์ได้สูงสุดต่อแบรนด์นั้น ซึ่งประเภทสินค้าที่น่ากังวลในปีนี้ ได้แก่ สินค้าฟุ่มเฟือย เช่น ขนมขบเคี้ยว และอื่นๆ เป็นต้น

" 2-3 ปีก่อน การซื้อสื่อโฆษณาต่อผลิตภัณฑ์ 1 ชิ้น ลูกค้าใช้งบการตลาดเพื่อซื้อสื่อที่หลากหลาย แต่ปัจจุบันจากสภาพเศรษฐกิจ ผู้บริโภคซื้อของจำกัดมากขึ้น นักการตลาดจึงต้องใช้กลยุทธ์การซื้อสื่อโดยใช้หลักการเหตุและผลมากขึ้น หรือซื้อสื่อที่เกิดประโยชน์สูงสุดและอยู่ภายใต้กรอบวงเงิน ขณะเดียวกันการทำงานของเอเยนซีก็ต้องเร่งปรับเปลี่ยน ต้องวางแผนการซื้อสื่อของลูกค้าให้ได้ประโยชน์มากที่สุด รวมถึงการจับตามองเทรนด์ทั่วโลกและในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคและนักการตลาด"

ปัจจุบันโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว นักการตลาดและนักสื่อสารไม่เพียงแต่ต้องรู้ทันคู่แข่งเท่านั้น แต่ยังต้องสามารถทำให้แบรนด์อยู่ในใจของผู้บริโภคได้ เนื่องจากผู้บริโภคจะพยายามมองหาสิ่งใหม่ๆ เติมเต็มความต้องการในชีวิตต่อเนื่อง ซึ่งการที่นักการตลาดรู้เท่าทันและคิดได้ไกลกว่าผู้บริโภคจะทำให้สามารถคิดชิ้นงานใหม่ได้มากขึ้น รวมถึงสามารถแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที ขณะเดียวกันกลุ่มเป้าหมายที่น่าสนใจในปีนี้ ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุ เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้จะมีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัว และชายรักชาย ซึ่งเป็นกลุ่มที่แบรนด์สินค้าต้องนำผลิตภัณฑ์และบริการเข้าไปตอบโจทย์

นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้นำบทวิเคราะห์แนวโน้มของเทรนด์และการเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตาในหลากหลายอุตสาหกรรมโลก Future: 100 Trends and Change to Watch in 2016 มาพิจารณาแต่ละประเด็น และพบความคล้องจองกับเทรนด์ต่างๆ ที่น่าจับตาในประเทศไทย ดังนี้ 1.เทรนด์ด้านวัฒนธรรม (Cultural trend) โดยเฉพาะกลุ่ม Gen-Z ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่สามารถมองเห็นโอกาสรอบตัวและนำมาใช้เป็นแรงบันดาลใจให้คนทั่วไป อีกทั้งสร้างชื่อเสียงที่ประสบความสำเร็จได้ 2.เทรนด์ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น การเรียนรู้ออนไลน์ กำลังได้รับความนิยมและท้าทายการศึกษาแบบเดิม และเน้นผสมผสานการเรียนรู้แบบออนไลน์

3.การท่องเที่ยวเชิงกีฬา แบรนด์สุขภาพชั้นนำเริ่มขยายโครงสร้างทางธุรกิจ เพื่อตอบรับความนิยมรักษาสุขภาพและมุ่งไปที่เรื่องของการท่องเที่ยว ซึ่งโรงแรมไม่สามารถมองฟิตเนสเป็นแค่บริการเสริมอีกต่อไป แต่ต้องผสานเข้าไว้กับธุรกิจเพื่อมอบบริการหรูและสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าที่ใส่ใจเรื่องของสุขภาพ 4.การคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าอาวุโส ทั่วโลกต่างให้ความสนใจในการคำนึงถึงความต้องการของผู้สูงอายุวัยเกษียณ เนื่องจากเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ที่มีแนวโน้มการใช้จ่ายที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในแถบตะวันออกกลางหรือทวีปแอฟริกาเหนือ 5.จังก์ฟูดเพื่อสุขภาพ(Natural Junk ) แบรนด์ต่างๆ เริ่มให้ความสนใจการนำเสนออาหารจังก์ฟูดที่ใช้ส่วนผสมธรรมชาติเป็นวัตถุดิบหลักมากขึ้น และตอบรับกระแสนิยมบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ

6.การยอมรับความแตกต่างของแต่ละบุคคล เนื่องจากในกระแสโซเชียลมีเดียได้สนับสนุนให้ผู้บริโภครุ่นใหม่ชื่นชมในปัจเจกนิยมของตนเอง และความงามของคนที่มีความแตกต่างไปจากมาตรฐานความงามสมบูรณ์แบบในยุคก่อน 7.กลุ่มค้าปลีก ต้องเป็นแหล่งรวมแบรนด์สตาร์ตอัพ เนื่องจากคนจำนวนมากเริ่มมีธุรกิจเป็นของตนเองและผลักดันให้แบรนด์ค้าปลีกยอมแบ่งพื้นที่ในร้านค้าของตัวเอง เพื่อให้แบรนด์สตาร์ตอัพเหล่านั้นได้ลองวางขายสินค้า เพื่อเป็นการเชื่อมโยงนวัตกรรมและดึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เข้าร้านอีกด้วย 8.องค์กรต้องให้ความสำคัญการดูแลสุขภาพของพนักงาน เพื่อบำรุงขวัญกำลังใจของพนักงานและเพิ่มกำไรตลอดจนกำลังการผลิตให้บริษัท 9.ประสบการณ์การทานอาหารแบบตื่นเต้นท้าทาย หรือหรูหรา สามารถเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่มีฐานะกำลังได้รับความนิยม และเป็นกระแสที่น่าสนใจสำหรับเมืองไทยซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจที่หลากหลาย และ 10.ไลฟ์สไตล์การโตเป็นผู้ใหญ่ก่อนวัยโดยเฉพาะกลุ่ม Gen-Z

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,131 วันที่ 14 - 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559