“จริงๆ แล้ว HR เหมือนกับการเป็นแซนด์วิช เชื่อมประสานระหว่างพนักงานและส่วนบริหารขององค์กร เราต้องเข้าใจคนในบริษัท ต้องรู้ว่าคนในบริษัทต้องการอะไรบ้างแล้วคัดกรองพิจารณาชงเรื่องให้ผู้บริหารรับรู้ รับทราบว่าพนักงานส่วนใหญ่มีความรู้สึกหรือมีความต้องการอะไร ในขณะเดียวกันหากเป็นเรื่องนโยบายที่มีความเข้มข้นเราก็จำเป็นต้องทำหน้าที่สื่อสารให้พนักงานรู้สึกสนุก รู้สึกอยากมีส่วนร่วม รู้สึกว่าบริษัทได้ให้ความสำคัญและให้ความใส่ใจทุกคนอย่างเท่าเทียม แม้เรื่องที่เข้ามาในแต่ละวันจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ซึ่งผลที่ตามมาก็คือความผูกพันระหว่างคนและองค์กรที่มีมากขึ้น เมื่อเกิดความรู้สึกนี้แล้วผลของงานย่อมดีตามมาด้วยเช่นกัน”
จุดเริ่มต้นชีวิตจากการศึกษาด้านจิตวิทยาอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยศาสตร์ ค่อยๆ นำพาความสนใจเรื่อง “คน” ของคุณอิ๊น – ดร.สุทธิโสพรรณ ช่วยวงศ์ญาติ ให้ก้าวสู่องค์ความรู้ในระดับที่เข้มข้นขึ้นด้วยการตัดสินใจศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลและอุตสาหกรรมสัมพันธ์ จากมหาวิทยาลัยอาร์ตฟอร์ดเชียร์ ประเทศอังกฤษ สานต่อความเชี่ยวชาญแบบองค์รวมด้วยการคว้าปริญญาเอกด้านการบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ประเทศออสเตรเลีย
ความเข้าใจและหลงรักในเสน่ห์ของงานด้านทรัพยากรบุคคล พ่วงด้วยประสบการณ์ในบริษัทขุดเจาะน้ำมันระหว่างประเทศ การได้ร่วมงานกับบริษัทที่ปรึกษา เปิดทางสู่การขึ้นสู่ตำแหน่ง HR Director ตั้งแต่อายุเพียง 28 ปี ในบริษัทข้ามชาติชื่อดังระดับโลก นำความเชี่ยวชาญและความเป็นกันเองเชื่อมประสานคนทุกเจเนอเรชันในองค์กร
ทำให้คุณอิ๊นเข้าถึงแก่นความเข้าใจในศาสตร์ด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ที่ในสถานการณ์ของการปฏิบัติจริง กฎ ระเบียบต่างๆ เป็นเพียงองค์ประกอบ แต่การจะทำงานด้านนี้ให้สำเร็จโดยแท้จริงแล้วคือการใช้สามัญสำนึก (Common Sense) เป็นหลักนำทางในการเชื่อมโยงระหว่างกฎระเบียบและพนักงานแต่ละคน
“คน คือ Unknown เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าความคิดหรือการกระทำจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ในความเดายากนี้คือเรื่องสนุก เรื่องที่ทำให้องค์กรของเรามีสีสัน คนเป็น HR ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า “Authentic” เชื่อถือได้สิ่งนี้จะทำให้คนในองค์กรเชื่อใจเราและเปิดอกคุยกับเราในทุกๆ เรื่อง ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นคือแนวทางที่สร้างโอกาสและทางเลือกใหม่ให้กับองค์กร”
การค้นพบว่าในองค์กรมี HR (Human Resource) ไม่ได้เพียงเพื่อดูแลสภาพความเป็นอยู่และสวัสดิการของทุกคนในองค์กรเพียงอย่างเดียว แต่ผู้บริหารอยากมาคุยกับ HR เพราะอยากรู้เรื่องคน อยากรู้เหตุผลว่าทำไมพนักงานแต่ละคนคิดและปฏิบัติไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้คุณอิ๊นในช่วงเริ่มต้นของงานบริหารจึงลุกจากเก้าอี้ออกเดินไปตามห้องต่างๆ ตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึงราวๆ เที่ยงวัน ทักทายพี่ๆ และเพื่อนร่วมงานในองค์กร สิ่งที่ได้รับจากการพูดคุยและการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกันและกัน นอกจากได้รับรู้ถึงรายละเอียดความเป็นอยู่ พื้นฐานชีวิต และประสบการณ์ของบุคลากรซึ่งมีคนทุกเจเนอเรชันในองค์กรแล้ว สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือความเชื่อ
เมื่อเรื่องงานเกี่ยวกับเรื่องคน ความเข้าใจเรื่องของคนจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด หนึ่งชีวิตที่ต้องหลอมรวมและรับรู้การเคลื่อนของความคิดและความเป็นไปของพนักงานแต่ละคนในองค์กรในทุกๆ วัน ร่วมกับการบริหารชีวิตของตนเองให้มีความสุข แนวคิดของคุณอิ๊นคือ “การทำให้เรื่องงานและเรื่องส่วนตัวเป็นเรื่องเดียวกัน” ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวในชีวิต รวมถึงการทำให้ครอบครัวเข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับงานที่รับผิดชอบ การได้เห็นพนักงานหลายคนต้องเดินทางไปทำงานทั้งๆ ลูกยังแบเบาะ การได้สัมผัสกับพนักงานที่ต้องขาดงานเพื่อดูแลคุณพ่อคุณแม่ที่เจ็บป่วย
คุณอิ๊นกล่าวว่า ความยากของการทำให้องค์กรเห็นความสำคัญของ “ครอบครัว” ไม่ใช่แค่การเอาลูกหรือคุณพ่อคุณแม่ไปทำงานด้วย แต่คือการทำอย่างไรให้ผู้บริหารยอมรับในจุดนี้ให้ได้ คุณอิ๊นเริ่มต้นจากการทำให้องค์กรรู้สึกถึงความผูกพันของคำว่า “ครอบครัว” เพราะในทางกลับกันองค์กรก็คือครอบครัวที่แม้จะไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่คือการอยู่ร่วมกันใต้ชายคาเดียวกันที่มีความสุขและความอุ่นใจของทุกคนควรได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม พร้อมๆ กับการใช้ตนเองเป็นต้นแบบ ด้วยการทำงานแบบมืออาชีพ และสามารถดูแลลูกน้อยวัยเดือนเศษที่เดินทางไปร่วมประชุมกับคุณอิ๊นได้ ชี้ให้เห็นว่าแม้จะต้องรับผิดชอบภาระหน้าที่ในครอบครัว แต่การทำงานในเวลาเดียวกันแบบมืออาชีพทำให้ผลลัพธ์ของสองหน้าที่ซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงได้อย่างไร้ที่ติ
[caption id="attachment_264192" align="aligncenter" width="503"]
ดร.สุทธิโสพรรณ ช่วยวงศ์ญาติ
กรรมการผู้จัดการใหญ่ สลิงชอท กรุ๊ป[/caption]
เมื่อเข็มทิศชีวิตเบนสู่ทางเลือกใหม่ ด้วยฝีมือการบริหารที่เฉียบคมและเป็นที่ประจักษ์ชัด คุณอิ๊นได้รับการทาบทามให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ สลิงชอท กรุ๊ป บริษัทที่ปรึกษา ผู้นำด้านการพัฒนาบุคลากรทุกระดับในสังคมไทย และคำถามแรกก่อนตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางชีวิตขึ้นสู่การเป็นผู้บริหารเต็มตัวก็คือ “องค์กรให้ความสำคัญกับครอบครัวมากแค่ไหน?”
“ส่วนตัวเชื่อว่า “ครอบครัว” เป็นพื้นฐานของทุกอย่าง การให้คำปรึกษา(Consulting) การโค้ช (Coaching) การฝึกอบรม (Training) รวมถึงการสร้างระบบพี่เลี้ยงที่เข้ามาเติมเต็มประสบการณ์ (Metaling) เมื่อทำไปเรื่อยๆ เราจะค้นพบว่าเหตุผลที่ผู้นำมีความคิดไม่เหมือนกัน เริ่มมาจากลักษณะส่วนบุคคลที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่มาจากพื้นฐานประสบการณ์ที่มีความเข้มข้นในแต่ละช่วงวัยแตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อเราเป็นผู้นำองค์กรสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการเข้าไปเติมเต็มในจุดนี้ การทำให้เรื่องของครอบครัวมีความสำคัญพนักงานจะรู้สึกมั่นใจและไม่พะวงหน้าพะวงหลังต้องเป็นห่วงทั้งสองทาง สิ่งที่ได้รับก็คือองค์กรเองก็ได้รับผลงานที่ดีจากความรู้สึกดีๆ ของคนในองค์กรเช่นกัน”
[caption id="attachment_264191" align="aligncenter" width="503"]
ดร.สุทธิโสพรรณ ช่วยวงศ์ญาติ
กรรมการผู้จัดการใหญ่ สลิงชอท กรุ๊ป[/caption]
เมื่อตัวตนและจิตวิญญาณเชื่อมสนิทกับวัฒนธรรมขององค์กร และความสามารถระดับปรมาจารย์ของคุณอิ๊นในฐานะคนไทยคนเดียวและคนแรกที่เป็นวิทยากรซึ่งได้รับการรับรองจากสถาบัน BridgeWorks องค์กรผู้เชี่ยวชาญการบริหารความหลากหลายในองค์กร เรื่องของการทำงานคือการสร้างหลักสูตรที่เข้ามาเติมเต็มประสบการณ์ที่สมบูรณ์ที่สุดให้กับลูกค้าในทุกระดับ
“จริงๆ แล้วความหลากหลายคือจุดแข็งของธุรกิจของเรา การนำความหลากหลายทางประสบการณ์มานำเสนอและจัดกลุ่มอย่างเหมาะสม ผู้บริหารรุ่นใหม่ซึ่งเกาะกลุ่มอายุช่วง 20 -30 ปี ต้องการประสบการณ์จากผู้ผ่านเส้นทางธุรกิจมาก่อน ต้องการการตัดสินใจที่เฉียบคมและคำแนะนำที่เกิดผลในทางปฏิบัติกับธุรกิจในทันที ส่วนผู้บริหารที่เป็นผู้ใหญ่ ก็ต้องการพี่เลี้ยงประสบการณ์ที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่จะมาเปิดโลกเทคโนโลยีให้เขาได้เรียนรู้ เพื่อปรับทัพขององค์กรได้อย่างทันท่วงที”
ในมุมคิดของคุณอิ๊นนั้น Mind-set ของคนที่จะเป็นผู้นำควรอยากมองเห็นทีมงานและพนักงานในองค์กรเติบโต ไม่ว่าจะเป็นผู้นำระดับส่วนงาน ผู้นำระดับกลาง หรือระดับสูง หากเริ่มต้นจากความคิดนี้องค์กรจะค่อยๆ เติบโตอย่างสง่างามในทุกๆ จุด และในส่วน Mind-set ของผู้ตามนั้นคือการมีความเป็นผู้นำในตัวเอง (Self Leadership) มีความกระตือรือร้นในการแสวงหา Role Model ที่จะทำให้ตนเองมีพลังและเติบโตไปให้ถึงจุดที่มุ่งหวังในทุกๆ วัน
ความท้าทายขององค์กรที่มีพนักงาน 20 คน คือการสร้างความภาคภูมิใจในองค์กรเล็กๆ แต่สามารถสร้างงานที่ยิ่งใหญ่ได้ จากความชื่นชอบส่วนตัวในการมองหาจุดแข็งของคน และส่งเสริมให้จุดแข็งนั้นเฉิดฉายและเจิดจรัสมากขึ้น ทำให้วันนี้ที่สลิงชอท การเสริมสร้างพลังให้กับพนักงานด้วยการมอบหมายงานใหม่ๆ ที่กระตุ้นการใช้ศักยภาพมากขึ้น ยิ่งดูเหมือนว่าพลังที่มียิ่งถูกเติมเต็มและได้รับการสร้างขึ้นอย่างมีความหมายมากขึ้นเช่นกัน ยิ่งโลกหมุนไวมากขึ้นเท่าไหร่ สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่เงินทองที่มากขึ้น แต่คือแรงบันดาลใจใหม่ๆ ที่คนในองค์กรสร้างและทำไปพร้อมๆ กัน เมื่อมาถึงจุดนี้ไม่แปลกใจเลยว่าทำไ มสลิงชอท กรุ๊ป จึงได้รับการคัดเลือกให้เป็น “Thailand Best Employer Brand Awards 2018” อย่างเต็มภาคภูมิ ความสำเร็จของภารกิจที่ยิ่งใหญ่ ตีโจทย์คน ให้ตอบโจทย์งาน
เรื่อง: บุรฉัตร ศรีวิลัย
ภาพ: ระวิภาส บุญลือ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,345 วันที่ 4 - 7 มีนาคม พ.ศ. 2561