โครงการ National e-Payment ที่จะนำประเทศไทยเข้าสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) ที่เริ่มจริงจังในปี 2560 ในมุมมองของผู้ปฏิบัติ “ยศ กิมสวัสดิ์” ประธานสำนักระบบการชำระเงิน สมาคมธนาคารไทย(TBA) ระบุว่า ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการโอนเงินรูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า Promt Pay (พร้อมเพย์)
“เราบรรลุ 2 เรื่องคือ การให้ความรู้ประชาชนและการรณรงค์ให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายและสะดวกขึ้น เป็นการสร้างความคุ้นเคยให้กับประชาชน และขยายช่องทางโอนเงินรวมถึงการชำระเงินโดยใช้ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อลดการใช้เงินสดให้น้อยลง”
ผลสำเร็จสะท้อนจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) การใช้ Mobile Payment ที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อเทียบเดือนมิถุนายน 2559 กับปี 2560 พบว่า จำนวนรายการธุรกรรมการใช้โมบายแบงกิ้งเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% ซึ่งเป็นการแสดงว่าคนหันมาใช้สมาร์ทโฟนในการทำธุรกรรมมากขึ้นทั้งรับ-โอนเงิน ชำระเงิน รวมถึงการจ่ายบิลข้ามธนาคาร เนื่องจากใช้งานง่าย สะดวก และค่าธรรมเนียมมถูกมากเมื่อเทียบกับการโอนเงินแบบเดิม
ส่วนนิติบุคคลหรือภาคธุรกิจ ยังใช้ไม่มากในธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ใช้กันมากในผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางขณะนี้มีนิติบุคคลกว่า 6 หมื่นรายที่ผูกพร้อมเพย์ด้วยเลขนิติบุคคล และผู้ประกอบการรายย่อยอีกจำนวนมากใช้ หมายเลขโทรศัพท์มือถือผูกกับพร้อมเพย์ด้วย
[caption id="attachment_248981" align="aligncenter" width="445"]
ยศ กิมสวัสดิ์[/caption]
นอกจากนี้ในเดือนกันยายน 2560 ได้เปิดให้ผู้ให้บริการ e-money มาร่วมเชื่อมต่อกับภาค ธนาคารผ่านระบบโครงสร้างพร้อมเพย์ ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงธุรกรรมได้สะดวก และรวดเร็วขึ้น และเมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2560 ระบบการชำระเงินของประเทศได้มีก้าวย่างที่สำคัญอีกครั้ง เมื่อธปท.ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ผู้ให้บริการ บัตรเครดิต/บัตรเดบิต และผู้ให้บริการ e-money ประกาศใช้มาตรฐาน QR Code ของประเทศไทย เรียกว่า THAI QR Payment ซึ่งมาตรฐานนี้ได้พัฒนา ต่อยอดมาจากมาตรฐาน EMV ที่รู้จักกันดีในสากล
“ปี 2560 นับเป็นปีที่ประชาชนและร้านค้าได้เรียนรู้และเข้าถึงการบริการทางการเงินในรูปแบบ Digital Payment ในหลายช่องทางใหม่ๆ ผ่านระบบพร้อมเพย์ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยจะเห็นได้จากยอดการถอนเงินผ่านเอทีเอ็มที่ลดน้อยลงและมีแนวโน้มที่จะลดลงไปอย่างต่อเนื่อง และในการทำธุรกิจที่สะดวกรวดเร็ว ประหยัดต้นทุน จะส่งผลดีให้กับเศรษฐกิจของประเทศ”
สำหรับทิศทางในปี 2561 ระบบการชำระเงินจะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยสร้างบริการใหม่ๆเพื่อเพิ่มช่องทางการใช้ e-Payment ขยายผู้ใช้งานให้มากขึ้น โดยให้ความรู้วิธีการใช้ทั้งภาคประชาชนและภาคธุรกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางของประเทศไทย 4.0
นอกจากนี้จะพัฒนาระบบ “ Credit Notification หรือ Escrow” ที่จะมาส่งเสริมการทำธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ แทนการเก็บเงินสด เพื่อให้ผู้ซื้อมีความมั่นใจว่าจะได้รับสินค้าที่ถูกต้องเมื่อสั่งสินค้าผ่านร้าน Online และผู้ขายก็มั่นใจว่าได้รับการชำระเงินแน่นอน
การพัฒนาระบบ “Request to Pay (RTP)” เพื่อให้ร้านค้าหรือผู้ให้บริการส่งการเรียกเก็บเงินไปยังลูกค้า ได้ในหลายรูปแบบ การพัฒนาระบบ QR Code ในรูปแบบ ที่เรียกว่า Business scan Customer (B scan C) ที่ใช้งานร่วมกับ ระบบ RTP
ตลอดจนขยายความร่วมมือศึกษาถึงรูปแบบในการโอนเงินระหว่างประเทศกับประเทศในกลุ่ม Asean เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ดีขึ้น ซึ่งระบบเหล่านี้จะช่วยทำให้การพัฒนาประเทศก้าวไปสู่ Cashless Society ได้ในอนาคต
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,330 วันที่ 11 - 13 มกราคม พ.ศ. 2561