ทอล์กออฟเดอะทาวน์ส่งท้ายปี 2560 กับดีลที่ “ธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์” ซีอีโอ สายการบินไทยแอร์เอเชีย ประกาศซื้อหุ้นบริษัทเอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้น 55% ในสายการบินไทยแอร์เอเชีย)คืน จาก “วิชัย ศรีวัฒนประภา” ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท คิงเพาเวอร์ฯ และครอบครัว เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2560 จำนวน 1,761 ล้านหุ้น สัดส่วน 36.3% ในราคา 4.70 บาทต่อหุ้น รวมมูลค่าราว 8,279 ล้านบาท ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ได้ขายหุ้นให้ วิชัยและครอบครัวไป 1,892 ล้านหุ้น สัดส่วน 39% ราคา 4.20 บาทต่อหุ้น มูลค่าประมาณ 7,945 ล้านบาท เมื่อเดือนมิถุนายน 2559 จากที่เคยถืออยู่ 44% จนเหลือในมืออยู่เพียง 5% และขายตํ่ากว่าราคาตลาดในขณะนั้นซึ่งอยู่ที่ 6 บาทต่อหุ้น
การตัดสินใจซื้อหุ้นคืนอีกครั้ง ส่งผลให้ ธรรศพลฐ์ กลับผงาดเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 41.3% ขณะที่ครอบ ครัวศรีวัฒนประภา ปัจจุบันเหลือหุ้นอยู่ใน AAV จำนวน 767 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนเพียง 3.5% โดยเหลือเพียง “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ถือหุ้นอยู่ 2.68% และ “อภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา” ถือหุ้นอยู่ 0.82% หลังเจ้าสัวคิงเพาเวอร์ มีกำไรติดปลายนวมไปราว 880 ล้านบาท จากกำไรที่ได้จากการขายหุ้นที่ 0.50 บาทต่อหุ้น
กระแสข่าวที่ออกมาเบื้องหน้าเป็นการตกลงกันได้ด้วยดี แต่เบื้องหลังดีลที่เกิดขึ้น มีการประเมินช่วงราว 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา ในการเข้ามาถือหุ้นของตระกูลศรีวัฒนประภา เพื่อหวังจะผนึกธุรกิจดิวตี้ฟรีและธุรกิจสายการบิน ในการขยายฐานลูกค้า โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวจีน เนื่องจากเล็งเห็นว่าไทยแอร์เอเชียในขณะนั้นก็มีฐานผู้โดยสารอยู่ในมือกว่า 17 ล้านคน และกว่า 20% เป็นนัก ท่องเที่ยวจีน ขณะที่ “ธรรศพลฐ์” เองในตอนนั้น ก็หวังว่าว่าคิงเพาเวอร์ มาช่วยต่อยอดให้ได้คอนเนกชันใหม่ๆ เพื่อรักษาการเติบโตของไทยแอร์เอเชียให้ได้ 20% ต่อปีเป็นอย่างน้อย แต่ที่ผ่านมาการต่อยอดธุรกิจไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้เท่าที่ควร
[caption id="attachment_247207" align="aligncenter" width="321"]
ธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์[/caption]
นอกจากนี้สาเหตุที่โมเดลธุรกิจที่วางไว้ไม่สำเร็จ จุดหลักเป็นเพราะธุรกิจคล้ายกันมากเกินไปและที่ผ่านมาธุรกิจก็ไม่ได้ดีทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งคิงเพาเวอร์ ก็หวังรายได้จากผู้โดยสารมาเที่ยวไทยแล้วไปช็อปปิ้งที่ดิวตี้ฟรี แต่เมื่อในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2559 ไทยมีปัญหานักท่องเที่ยวจีนชะลอ จากการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ ประกอบกับช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปี 2560 ธุรกิจการบินของไทยต่างเจอปัญหาขาดทุนถ้วนหน้า แม้ไทยแอร์เอเชีย เป็นเพียงสายการบินที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพียงสายการบินเดียวที่มีกำไร แต่กำไรหดตัวไปกว่า 50% จากการแข่งขันที่สูงขึ้นและราคานํ้ามันที่เพิ่มสูงขึ้น
อีกทั้งปีนี้คิงเพาเวอร์ ต้องเตรียมตัวในการลงทุนครั้งใหญ่ เพื่อชิงพื้นที่ดิวตี้ฟรีในสนามบินสุวรรณภูมิซึ่งมีพื้นที่กว่า 5.3 หมื่นตารางเมตร ซึ่งบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. เตรียมจะเปิดประมูลช่วงเดือนมีนาคม 2561 เพื่อหาผู้ประกอบการรายใหม่ แทนคิงเพาเวอร์ที่จะหมดสัญญาในปี 2563 แน่นอนว่า เจ้าสัวดิวตี้ฟรีต้องสู้สุดตัว เพื่อให้ธุรกิจหลักยังเดินหน้าต่อไปได้
“การถือหุ้นใน AAVของ คิงเพาเวอร์จึงดูไม่ได้ประโยชน์อะไรมากมาย แต่การขายออกไปยังมีกำไรคืนมา ส่วน ธรรศพลฐ์ ปัจจุบันยังมีการลงทุนในไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ อยู่แล้ว การได้สิทธิ์ในการนั่งหัวโต๊ะกำหนดทิศทางขององค์กรในยุคการแข่งขันที่รุนแรงย่อมดีกว่านั่งบริหารเฉยๆ แน่และยังพูดจาภาษาคนแอร์ไลน์ด้วยกันกับผู้ถือหุ้น แอร์เอเชีย มาเลเซีย ซึ่งจะทำให้การวางแผนทำงานร่วมกันไม่สะดุด”
อย่างไรก็ดี ธรรศพลฐ์ แจ้งถึงเหตุผลในการเข้าซื้อหุ้น AAV ครั้งนี้ว่าเพราะมีความผูกพันกับธุรกิจสายการบินที่ได้ปลุกปั้นมากับมือ ตั้งแต่แรกจนมีมาร์เก็ตแชร์อันดับ 1 ของประเทศและยืนยันจะเดินหน้าลงทุนสร้างความเติบโตให้กับไทยแอร์เอเชียต่อไป
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,328 วันที่ 4 - 6 มกราคม พ.ศ. 2561