“เควี” ผ่าน 2 วิกฤติ จนต้องถอยตั้งหลักใหม่ น้อมนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ ลบภาพมุ่งขยายธุรกิจให้โตก้าวกระโดด หันมาย่อขนาดธุรกิจและค่อยๆเติบโตแบบยั่งยืน พร้อมปรับตัวสู่เทคโนโลยีใหม่ 2 ปีอัด 20 ล้านวางระบบอัตโนมัติควบคุมการผลิต
ดร.ขัติยา ไกรกาญจน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เควี อีเลคทรอนิคส์ จำกัด หรือเควี เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า บริษัทเป็นผู้ประกอบการที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอี ดำเนินธุรกิจมา 28 ปีเต็ม ในธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ชิ้นส่วนหม้อแปลงไฟฟ้าขนาดเล็กที่ประกอบอยู่ในโทรศัพท์มือถือ ชุดแปลงไฟฟ้า และอยู่ในอุปกรณ์อิเล็ก ทรอนิกส์ทุกชนิด โดยเส้นทางธุรกิจต้องผ่านวิกฤติมา 2 ครั้งใหญ่ ตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง มาถึงวิกฤติเศรษฐกิจฟองสบู่ดอตคอม หรือภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ไอทีจนได้รับผลกระทบ
ในที่สุดต้องน้อมนำหลักแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาปรับใช้ โดยลบภาพที่มอง
การเติบโตแบบมุ่งแต่ขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ก็หันมากำหนดวิสัยทัศน์ใหม่ โดยยึด 3 สิ่งคือ
1. Learn (เป็นองค์กรที่แสวงหาความรู้)
2. Solution (เป็นองค์กรที่ดูแลผู้มีส่วนได้เสีย เช่น ลูกค้า)
3. Reliable (เป็นองค์กรที่มีความน่าเชื่อถือและยั่งยืน)
[caption id="attachment_222941" align="aligncenter" width="431"]
ดร.ขัติยา ไกรกาญจน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เควี อีเลคทรอนิคส์ จำกัด หรือเควี[/caption]
“การปรับตัวโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงนั้น ทำให้บริษัทลดขนาดธุรกิจลงหลังเผชิญวิกฤติช่วงที่ผ่านมา จากองค์กรที่เคยมีรายได้ต่อปี 250 ล้านบาท จนมีรายได้ตํ่ากว่า 100 ล้านบาท แล้วค่อยๆขยับขึ้นมาปีที่แล้วมีรายได้ 120 ล้านบาท ปีนี้จะเพิ่มเป็น 140 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจ 3 ด้านคือ ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซ่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และออกแบบผลิตภัณฑ์ ค่อยๆเติบโต”
ดร.ขัติยากล่าวว่า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์แนวโน้มจะเป็นที่นิยมใช้เพิ่มขึ้นในรูปของผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เช่น อินเวอร์เตอร์ (Inverter) ในเครื่องปรับอากาศ หรือในพลังงานแสงอาทิตย์ แปลงให้เป็นพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ตามบ้านที่อยู่อาศัย รวมไปถึงในที่ชาร์จแบตเตอรี่สำหรับรถอีวีทั้งหลาย
นอกจากนี้ จากที่มีการปรับตัวต่อเนื่อง แต่ด้วยเทคโนโลยีและตลาดกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ไปสู่เทคโนโลยีใหม่ๆมากขึ้น ทำให้บริษัทฯต้องปรับยุทธศาสตร์ไปสู่อินดัสตรี 4.0 ด้วย โดยในกระบวนการผลิตจะให้ระบบอัตโนมัติควบคุมการผลิตมากขึ้น สามารถควบคุมลูกค้าได้ใกล้ชิดมากขึ้น
ปัจจุบันเควี มีกำลังผลิตรวมที่ผลิตได้ 4 ล้านชิ้นต่อปี ส่งออก 50% ไปยังประเทศอิสราเอล สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี อเมริกา เยอรมนี และสัดส่วน 50% ขายในประเทศ คาดว่านับจากปี 2560 เป็นต้นไปบริษัทจะมีผลกำไรเติบโตสูงขึ้น หลังจากที่บริหารต้นทุนใหม่ด้วยการลงทุนไปเมื่อต้นปีนี้ราว 10 ล้านบาท วางระบบอัตโนมัติ และจะลงทุนต่อเนื่องไปถึงปี 2561 อีกประมาณ 10 ล้านบาท ทำให้ในช่วงปี 2560-2561 ใช้เงินทุนเพื่อยกระดับการผลิตทั้งสิ้น 20 ล้านบาท อีกทั้งขยายฐานตลาดไปยังจีนเพิ่มขึ้น การปรับตัวทั้งหมดนี้จึงเป็นการตอบโจทย์ว่าบริษัทกำลังเดินไปสู่อินดัสตรี 4.0 ล้อไปตามนโยบายของรัฐบาล และเดินหน้าธุรกิจอย่างยั่งยืนมากขึ้น
อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับผู้ประกอบการในกลุ่มเอสเอ็มอีในขณะนี้ คือการไม่ปรับตัวเพื่อหนีจากระบบการผลิตเดิมๆ ไม่ลงทุนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วยข้อจำกัดหลายด้าน ที่ไม่เอื้อทั้งขาดเงินทุน ไม่มีบุคลากร ไม่สามารถเข้าถึงเครือข่ายการวิจัยภาครัฐได้ ไม่มีห้องปฏิบัติการวิจัย และที่ผ่านมา หน่วยงานรัฐก็ไม่สนใจทำการวิจัยกับเอสเอ็มอี ขณะที่ซีกเอสเอ็มอีก็ไม่สนใจ
ซึ่งตรงนี้ก็ดูว่า จะทำอย่างไรให้นักวิจัยมาช่วยเอสเอ็มอี ซึ่งปัจจุบันภาครัฐก็มีโครงการแบบนี้อยู่แล้วที่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)โดยเอาสถาบันการศึกษามาช่วยเอสเอ็มอี มาจับคู่กันก็ทำได้จำนวนหนึ่งแต่ก็ยังน้อย ซึ่งภาครัฐเป็นคนให้ทุนวิจัย
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,308 วันที่ 26 - 28 ตุลาคม พ.ศ. 2560