รองศาสตราจารย์ ดร. ภัทรกิตติ์ เนตินิยม ประธานมูลนิธิห้วยข้องพัฒนาเปิดเผยดัชนีภาษีบุหรี่โลกว่า รายงานจาก Cigarette Tax Scorecard จากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกว่า 160–170 ประเทศ โดยใช้ 4 ปัจจัยหลักเป็นตัวชี้วัดคือ ระดับราคาบุหรี่ การเปลี่ยนแปลงความสามารถในการซื้อ (affordability) สัดส่วนภาษีในราคาขายปลีก และ โครงสร้างภาษี
ดัชนีภาษีบุหรี่โลก มีคะแนนสูงสุดคือ 5 และเป็นดัชนีที่องค์กรระดับโลก เช่น World Bank, WHO และนักเศรษฐศาสตร์ด้านสาธารณสุขใช้ในการประเมิน “ภาษีสุขภาพ” ต่อสินค้าที่ก่อผลกระทบ เช่น ยาสูบ แอลกอฮอล์ น้ำตาล และไขมันทรานส์
ผลการจัดอันดับดัชนีภาษีบุหรี่โลก พบว่า ประเทศไทยได้คะแนนรวมเพียง 1.88 ซึ่งถือว่าอยู่ในอันดับต่ำคือ อันดับที่ 100 จาก 174 ประเทศ จากปัจจัยทั้ง 4 ด้านที่ใช้จัดทำดัชนีภาษีบุหรี่โลก ประเทศไทยสามารถทำคะแนนได้ดีในด้านสัดส่วนภาระภาษีและระดับราคาของบุหรี่
ขณะที่คะแนนด้านโครงสร้างภาษี และการเปลี่ยนแปลงของราคาเมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ กลับอยู่ในระดับที่ต่ำ แม้ว่าประเทศไทยจะมีการขึ้นภาษีบุหรี่ โดยเฉลี่ยตามช่วงเวลา ล่าสุดมีการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่ไปเมื่อเดือนตุลาคม 2564
ทั้งนี้ การมีโครงสร้างภาษีบุหรี่ที่ได้คะแนนต่ำ อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ได้คะแนนต่ำในด้านราคาบุหรี่เมื่อเทียบกับรายได้ตามมา เพราะโครงสร้างภาษีบุหรี่ที่มีช่องโหว่จะยิ่งเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการหันมาแข่งขันลดราคาบุหรี่ หรือผลิตสินค้าตัวใหม่ที่มีราคาถูกลงเรื่อย ๆ
จุดด้อยของโครงสร้างภาษียาสูบไทยคือ การแบ่งอัตราภาษีตามมูลค่าสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ซึ่งรายงานฯ เห็นว่า เป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดต่อการจัดเก็บภาษียาสูบ เพราะไม่ว่าจะใช้ระบบภาษีแบบใดแต่หากมีการเก็บภาษีหลายอัตราแล้ว จะได้แค่ 1 คะแนน จาก 5 คะแนนเท่านั้น
“โครงสร้างภาษีหลายอัตรา อาจเป็นแรงจูงใจทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการบุหรี่แข่งขันกันผลิตและขายบุหรี่ราคาถูก จนบั่นทอนประสิทธิภาพของการจัดเก็บภาษีบุหรี่ลง ทำให้ไทยได้แค่ 1 คะแนน ในระดับเดียวกับบังกลาเทศ อินเดีย พม่า เนปาล ปากีสถาน และศรีลังกา”
หากประเทศไทยยกเลิกการเก็บภาษีมูลค่าแบบ 2 อัตรา และเปลี่ยนมาใช้อัตราภาษีมูลค่าอัตราเดียวที่เหมาะสมกับปัจจัยต่างๆของประเทศไทย จะช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยได้คะแนนเพิ่มขึ้นจาก 1 คะแนน เป็น 4 คะแนน
เช่นเดียวกับประเทศที่เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องของโครงสร้างภาษียาสูบ อาทิ เยอรมนี เกาหลีใต้ สิงคโปร์ แคนนาดา นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร และฟิลิปปินส์ การปรับคะแนนดังกล่าวน่าจะสามารถเลื่อนอันดับดัชนีภาษีบุหรี่โลกให้ขึ้นมาที่อันดับ 46 จาก 174 ประเทศทั่วโลก
นอกจากนั้น ยังช่วยให้เกิดความสมดุลระหว่าง 3 วัตถุประสงค์หลักของการในนโบายภาษียาสูบ คือ ช่วยสร้างรายได้ภาษีเข้ารัฐ ลดปริมาณคนสูบ และช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันกันได้อย่างเสรีภายใต้ราคาที่หลากหลาย
ลดการแข่งขันด้านราคาในกลุ่มบุหรี่ราคาถูกหรือต่ำกว่า 72 บาทต่อซอง ที่ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าก็ลงมาเล่นในตลาดล่างนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีในอัตราที่สูงจนนำมาซี่งการเบี่ยงเบนส่วนแบ่งทางการตลาดที่ลดลงของผู้ประกอบการในประเทศ
ดังนั้น แนวทางการปรับโครงสร้างภาษียาสูบเป็นอัตราเดียว ซึ่งผลการศึกษาล่าสุดได้รับการยอมรับกันเกือบทุกฝ่ายว่า เป็นแนวทางที่ดีที่สุดและเป็นสากล นอกจากจะช่วยลดการบริโภคยาสูบและสร้างรายได้ภาษีให้รัฐได้ดีกว่าตลอด 8 ปีที่ผ่านมาแล้ว ยังน่าจะช่วยให้ผู้ประกอบการทุกรายสามารถประกอบธุรกิจได้อย่างเป็นธรรมและกำหนดกลยุทธทางธุรกิจได้อย่างเหมาะสมและยั่งยืน
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,158 วันที่ 18 - 20 ธันวาคม พ.ศ. 2568