“กสทช.” เตรียมนัดประชุมบอร์ดวาระพิเศษ หลัง สตง.สั่งเบรกเน็ตชายขอบมูลค่า 1.3 หมื่นล้าน ด้าน “ฐากร” บ่นท้อ อยากเห็นโครงการเน็ตประชารัฐช่วยยกระดับประเทศ ชี้ทุกอย่างโปร่งใส
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. กล่าวว่า ประเด็นเรื่องการประกวดราคาโครงการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ชายขอบ 3,920 หมู่บ้าน หรือ USO Net โดยสำนักงาน กสทช. ได้เสนอเรื่องแผนการดำเนินการและผลการประกวดราคาต่างๆ เข้าที่ประชุม พร้อมทั้งได้นำความคิดเห็นของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ที่ได้ส่งหนังสือมายัง กสทช. เพื่อขอรับนโยบายที่จะดำเนินการในเรื่องนี้ ซึ่งมติที่ประชุมของบอร์ด กสทช. คือเห็นชอบกับแผน ปฏิบัติการของ USO Net ในพื้นที่ชายขอบตามที่ได้นำเสนอ ส่วนเรื่องผลการประกวดราคาต่างๆ ขอให้ทางสำนักงานยกร่างข้อชี้แจงของ สตง. ที่ได้เสนอข้อคิดเห็นกลับมาก่อน จากนั้นจึงค่อยนัดประชุมบอร์ด กสทช. วาระพิเศษอีกครั้งตามข้อชี้แจงและข้อสังเกตของ สตง.
ข้อสังเกตของ สตง.ที่เข้ามานั้นมีหลายประเด็นที่เข้าใจไม่ตรงกัน เรื่องแรกเกี่ยวกับมติ ครม. ที่บอกว่าได้มอบหมายให้กับทีโอทีเป็นผู้ดำเนินการโครงการ USO Net ซึ่งมติ ครม. ในเรื่องนี้ ไม่มีชัดเจน แต่ถึงแม้ว่าจะมีความชัดเจนเพียงใด ก็ยังมีเงื่อนไขที่ทาง กสทช. ไม่สามารถโอนเงินให้กับทางทีโอทีในการดำเนินการได้ตาม พ.ร.บ. จัดสรรคลื่นความถี่เดิม สำหรับโครงการ USO Net นั้นทาง กสทช.ต้องดำเนินการเอง โดยขั้นตอนในการดำเนินการคือต้องมีการประกวดราคาเท่านั้น ไม่สามารถที่จะโอนเงินดังกล่าวไปให้กับหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเพื่อดำเนินการได้ แต่กฎหมายใหม่ที่ออกมากำหนดว่าในกรณีงาน USO Net หาก กสทช. ไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการเอง ก็สามารถที่จะโอนเงินดังกล่าวไปให้กองทุนดีอีเพื่อดำเนินการได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าให้โอนเงินไปให้ทีโอที
[caption id="attachment_183231" align="aligncenter" width="503"]
ฐากร ตัณฑสิทธิ์[/caption]
นายฐากร กล่าวต่อว่า ขั้นตอนการทำงานของ กสทช. ได้เข้าสู่โครงการสัญญาคุณธรรม ทุกโครงการของ กสทช. นั้นเปิดกว้างให้ทุกคนเข้าร่วมได้หมด การแข่งขันในครั้งนี้เป็นการแข่งขันโดยโปร่งใสอยู่บนพื้นฐานของรัฐและประชาชนเป็นหลัก ดังนั้นกรณีที่มีการกล่าวหาว่าการประกวดราคามีการล็อกสเปกนั้นไม่เป็นความจริง ทุกโครงการที่เกิดขึ้นประชาชนเป็นผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุด สำหรับผลการประมูลที่ออกมามีการแข่งขันอย่างรุนแรง และราคากลางของ กสทช. นั้นเป็นราคาที่ตํ่าอยู่แล้ว แต่เมื่อมีการแข่งขัน ราคาก็ต้องตํ่าลงไปอีก โดยตํ่าลงเกือบ 700 ล้านบาท เมื่อไปถึงประชาชนจะต้องหักเงินส่วนที่รัฐลงทุนดังกล่าวออก ดังนั้นแพ็กเกจที่เอกชนเป็นผู้ลงทุนจากการสำรวจราคาตํ่าสุดอยู่ที่ 599 บาท แต่จากที่ทาง กสทช. เคยเสนอไปเบื้องต้นคือแพ็กเกจต้องราคาไม่เกิน 200 บาท
“ผมรู้สึกท้อและเหนื่อยมากกับสิ่งที่ผมได้พยายามตั้งใจทำ เพราะอยากเห็นโครงการเน็ตประชารัฐที่เข้ามาได้ช่วยยกระดับประเทศเพื่อให้ประเทศไทยได้ทัดเทียมกับต่างชาติ ผมทุ่มเทให้กับทุกโครงการที่ทาง กสทช. ได้รับมอบหมาย แต่อย่างไรก็ตาม กสทช. มีทางออกที่คาดไว้ 3 ทางคือ เดินหน้าโครงการต่อ, ส่งเรื่องต่อให้กองทุนดีอี หรือสุดท้ายคือประกวดราคาใหม่ อย่างไรก็ดีทาง กสทช.พร้อมที่จะยกเลิกการดำเนินการโครงการดังกล่าวหากข้อสังเกตของ สตง. ยังยืนยันว่าสิ่งที่ทาง กสทช. ดำเนินการเป็นสิ่งที่จะให้เกิดความเสียหาย” นายฐากร กล่าวทิ้งท้าย
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,287 วันที่ 13 -16 สิงหาคม พ.ศ. 2560