กรมชลประทาน ระดมแผนจัดหาแหล่งน้ำป้อนอีอีซี ชี้ระยะเร่งด่วนต้องขอความร่วมมือเอกชนช่วยจัดหาแหล่งน้ำสำรองมาเสริม ยัน 4-5 ปี สร้างอ่างเก็บน้ำใหม่ 4 แห่งแล้วเสร็จ ในขณะที่รัฐบาลกำลังเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรืออีอีซี โดยมุ่งเน้น 5 โครงการเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา การสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 โครงการรถไฟความเร็วสูง การชักชวนนักลงทุนเป้าหมายมาลงทุนและการสร้างเมืองใหม่ แต่การเตรียมความพร้อมทางด้านสาธารณูปโภค อย่างการบริหารจัดการน้ำ ก็ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนเช่นกัน เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่า จะมีปริมาณเพียงพอรองรับกับความต้องการที่เกิดขึ้นได้ ไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เหมือนที่เคยเกิดวิกฤตการขาดแคลนน้ำในภาคอุตสาหกรรมเมื่อปี 2537
[caption id="attachment_158116" align="aligncenter" width="503"]
ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์[/caption]
โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ที่ผ่านมาทางกรมชลประทาน ได้ร่วมหารือกับทางการนิคมอุตสาหกรรม(กนอ.) เพื่อเร่งวางแผนการจัดหาน้ำที่จะมาป้อนให้กับพื้นที่อีอีซีแล้ว
นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ รองอธิบดีฝ่ายวิชาการกรมชลประทานเปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า จากการหารือร่วมกับกนอ.ในการวางแผนจัดหาน้ำให้กับพื้นที่อีอีซีนั้น จะแบ่งการดำเนินงานเป็นระยะๆ โดยระยะเร่งด่วนนี้ การลงทุนตั้งโรงงานในระยะแรก ทางภาคเอกชนหรือนิคมอุตสาหกรรม อาจจะต้องช่วยเหลือตัวเองในการจัดหาน้ำมาสำรองไว้ใช้ ควบคู่กับการจัดหาน้ำของกรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง ต้องมีมาตรการลดการใช้น้ำ หรือใช้น้ำอย่างมีประสิทธิ์ภาพ ด้วยการนำน้ำที่ใช้แล้วหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ และการนำเทคโนโยลีเปลี่ยนน้ำทะเลเป็นน้ำจืด
[caption id="attachment_160424" align="aligncenter" width="430"]
เร่งแผนจัดหาน้ำ กรมชลฯ ยันก่อสร้างอ่างเสร็จทันใน4-5 ปี[/caption]
ในขณะที่ระยะกลาง 4-5 ปีจากนี้ไป จะเป็นเรื่องของการจัดหาน้ำเพิ่มขึ้นจาก จากอ่างเก็บน้ำมันที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยการลงทุนขยายความจุของอ่างฯเพิ่มเติม 6 แห่ง จะทำให้ได้น้ำเพิ่มขึ้นอีก 84 ล้านลูกบาศก์เมตร และการจัดทำโครงข่ายระบบสูบน้ำอีก 15 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมปริมาณน้ำ 99 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมถึงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขึ้นมาใหม่อีก 4 แห่ง มีปริมาณน้ำรวม 308.5 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมถึงการก่อสร้างท่อผันน้ำจากเขื่อนประแสร์มาเพิ่มเป็น 100 ล้านลูกบาศก์เมตร
โดยในปี 2566 เมื่อเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำสตึงมนัม จากกัมพูชา พัฒนาแล้วเสร็จ คาดว่าจะทำให้สามารถส่งน้ำมายังภาคตะวันออกเพิ่มได้อีก 300 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งในส่วนนี้กรมชลประทานจะเป็นผู้ลงทุน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมรายละเอียด การศึกษาแนวเส้นทางการก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำที่จะนำน้ำมาใช้ประโยชน์ รวมทั้งการจัดทำรายงารนศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอ และจะดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณการศึกษาและพัฒนาต่อไป ที่คาดว่าจะใช้งบไม่ต่ำกว่า 7.4 หมื่นล้านบาท
[caption id="attachment_130527" align="aligncenter" width="503"]
วีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.)[/caption]
นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) เปิดเผยว่า สำหรับแผนการจัดหาน้ำนั้นได้หารือกับทางกรมชลประทานแล้ว โดยเฉพาะการสำรองน้ำในยามฉุกเฉินบริเวณที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมในเขตอีอีซี ซึ่งหากเป็นนิคมอุตสาหกรรม ที่อยุ่ในเขตรับผิดชอบของบริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์ วอเตอร์ คงไม่มีปัญหา สามารถซื้อน้ำมาสำรงอได้ส่วนนิคมฯอื่นๆ คงจะต้องหาแหล่งน้ำสำรองเอง ซึ่งที่ผ่านมาได้สร้างอ่างเก็บน้ำไว้บางแล้ว และจะต้องดูพื้นที่พัฒนาต่อ เพราะอนาคตจะเกิดนิคมอุตสาหกรรมอีกจำนวนมากในพื้นที่ 3 จังหวัดดังกล่าว
ปัจจุบันความต้องการน้ำในอีอีซีมีประมาณ 628 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี กรมชลประทานสนับสนุนได้ 362 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และอีก 300 ล้านลูกบาศก์เมตร มาจากแม่น้ำลำคลอง
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,269 วันที่ 11 - 14 มิถุนายน พ.ศ. 2560