แนะผู้ประสบภัยน้ำท่วมไม่ควรนำที่นอนเปียกน้ำมาใช้เสี่ยงป่วย“ปอดบวม”
กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ห่วงผู้ประสบภัยน้ำท่วมโดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว แนะไม่ควรนำที่นอนเปียกน้ำมาใช้นอน เนื่องจากมีความชื้นสูงจากน้ำที่เปียกชุ่มในวัสดุที่ใช้ทำที่นอน เสี่ยงป่วยโรคทางเดินหายใจ โดยเฉพาะปอดบวม ให้ใช้ผ้าหนาๆหรือเสื่อปูนอนแทน
นายแพทย์ประภาส จิตตาศิรินุวัตร รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาน้ำท่วมสถานพยาบาลและการสนับสนุนภาคประชาชนด้านสุขภาพของกรมสบส. เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์น้ำท่วมขณะนี้ ซึ่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานยังคงมีพื้นที่น้ำท่วมทั้งหมด 92 อำเภอ ใน 11 จังหวัด ได้แก่ สงขลา ปัตตานี ตรัง สุราษฎร์ธานี พัทลุง นราธิวาส นครศรีธรรมราช ชุมพร ระนอง กระบี่ และประจวบคีรีขันธ์ ประชาชนได้รับผลกระทบทั้งหมด 369,680 ครัวเรือน ซึ่งผลจากน้ำท่วมขังเป็นเวลาติดต่อกันหลายวัน อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ประสบภัย โดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำกว่าคนทั่วไปอาจเสี่ยงเกิดการเจ็บป่วยง่ายขึ้น เนื่องจากอากาศมีความชื้นสูง จึงขอให้ผู้ประสบภัยดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง สวมเสื้อผ้าให้ความอบอุ่นร่างกายอย่างเพียงพอหมั่นล้างมือฟอกสบู่บ่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากใช้ห้องน้ำห้องส้วมหรือภายหลังหยิบจับสิ่งของต่างๆ และล้างมือก่อนรับประทานอาหารหรือก่อนให้นมบุตรทุกครั้งและรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ
เรื่องที่เป็นห่วงผู้ประสบภัยขณะนี้ คือ เรื่องที่นอน เนื่องจากลักษณะของน้ำท่วมครั้งนี้เป็นน้ำไหลหลาก กระแสน้ำไหลแรง ระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บางคนอาจขนย้ายที่นอนไม่ทันโดยเฉพาะผู้ที่อาศัยในบ้านชั้นเดียวหากที่นอนเปียกน้ำแล้ว ขอแนะนำว่าไม่ควรนำมาใช้อีก เนื่องจากที่นอนมีความหนา น้ำจะชุ่มอยู่ในวัสดุที่ใช้ทำที่นอนและจะมีความชื้นสูงแม้ว่าจะนำไปตากแดดแล้วก็ตาม หากนำมาใช้ซ้ำอีกอาจทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจได้ง่าย โดยเฉพาะไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ และโรคปอดบวม จึงแนะนำให้ผู้ประสบภัยใช้วัสดุอื่นปูนอนแทน เช่น เสื่อหรือผ้าหนาๆ ก็ได้ เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายอย่างเพียงพอ
ทั้งนี้อาการของโรคไข้หวัด จะเริ่มด้วยอาการครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้เล็กน้อย คัดจมูก มีน้ำมูกใสๆ ไอจาม ส่วนไข้หวัดใหญ่ จะเริ่มด้วยมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ไอ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ หากเริ่มมีอาการ ควรนอนพักผ่อนให้มากๆ ดื่มน้ำบ่อยๆ ถ้าตัวร้อนมากควรใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัว หรือกินยาลดไข้ อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 2-7 วัน แต่หากมีอาการไอมากขึ้นหรือมีไข้สูงติดต่อกันเกิน 2 วัน โดยเฉพาะในรายที่เป็นเด็กเล็ก หากมีอาการเปลี่ยนแปลงหลังมีไข้ เช่นหายใจเร็วขึ้น มีอาการหอบ หายใจแรงจนชายโครงบุ๋ม หรือหายใจมีเสียงดัง แสดงว่าอาจเกิดโรคแทรกซ้อน ที่สำคัญคือ โรคปอดบวม ซึ่งมีความรุนแรงต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ต้องรีบพาไปพบแพทย์ โดยหากไม่สามารถเดินทางออกจากบ้านได้ หรือเดินทางไม่สะดวก ขอให้แจ้งอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านหรืออสม. ซึ่งมีครอบคลุมทุกหมู่บ้าน หมู่บ้านละประมาณ 10-15 คน ซึ่งจะเป็นแกนกลางประสานแจ้งเจ้าหน้าที่สถานบริการสาธารณสุขที่อยู่ใกล้บ้าน เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างถูกต้องโดยเร็ว