ก.เกษตรฯย้ำความมั่นใจสินค้าเกษตรปลอดภัย

06 ธ.ค. 2559 | 14:29 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ธ.ค. 2559 | 21:29 น.
กรมวิชาการเกษตร  สร้างความเชื่อมั่นสินค้าเกษตรปลอดภัย  ควบคุมการขึ้นทะเบียนปัจจัยการผลิตทางการเกษตร  ตรวจรับรองแปลง GAP และเกษตรอินทรีย์   พร้อมสุ่มตรวจติดตามเฝ้าระวังสารตกค้างในผลิตผลเกษตรคุมเข้มข้นทั้งคุณภาพและความปลอดภัยตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง

นายสุวิทย์  ชัยเกียรติยศ  อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า  กรมวิชาการเกษตร  เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบกำกับดูแลปัจจัยการผลิตทางการเกษตร  โดยทำหน้าที่ตรวจสอบการนำเข้า การผลิต  และการจำหน่ายปุ๋ย  วัตถุอันตราย  และพันธุ์พืช  รวมทั้งดำเนินคดีต่อผู้ที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย  พระราชบัญญัติปุ๋ย  และพระราชบัญญัติพันธุ์พืช เพื่อให้เกษตรกรได้ใช้ปัจจัยการผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพตามที่กฎหมายกำหนด  ถือเป็นการควบคุมกำกับดูแลสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพได้มาตรฐานตั้งแต่ต้นทาง

ที่ผ่านมานอกจากกรมวิชาการเกษตรจะเข้มงวดต่อการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายทางการเกษตรแล้วยังให้ความสำคัญต่อการตรวจสอบติดตามคุณภาพของปัจจัยการผลิตทางการเกษตรแม้จะผ่านการขึ้นทะเบียนแล้วก็ตาม โดยได้ส่งเจ้าหน้าที่สารวัตรเกษตรออกตรวจสอบในแหล่งผลิตและจำหน่ายปัจจัยการผลิตทั้งประเทศ  โดยในปี 2560 มีเป้าหมายในการตรวจวัตถุอันตรายนำเข้า 550 ตัวอย่าง  ตรวจโรงงานผลิตวัตถุอันตราย 100 โรงงาน  ตรวจร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการปัจจัยการผลิตคุณภาพหรือร้าน Q-shop และร้านค้าที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการจำนวนทั้งสิ้น  23,570 ร้านค้า  โดยสุ่มเก็บตัวอย่างทั้งปุ๋ยและวัตถุอันตรายมาตรวจสอบในห้องปฏิบัติการของกรมวิชาการเกษตร    รวมทั้งยังมีแผนตรวจติดตามคุณภาพวัตถุอันตรายที่ขึ้นทะเบียนแล้ว

ปี 2558  เจ้าหน้าที่สารวัตรเกษตร  กรมวิชาการเกษตร ร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค  เข้าจับกุมและดำเนินคดีกับผู้ฝ่าผืนกฎหมายในปี 2558  จำนวนทั้งหมด 17 ราย  อายัดของกลางรวมจำนวน 271 ตัน  คิดเป็นมูลค่ากว่า 73  ล้านบาท  ปี 2559  จำนวน 30 ราย  อายัดของกลางรวมจำนวน 2,132 ตัน  คิดเป็นมูลค่ากว่า 83  ล้านบาท

อธิบดีกรมวิชาการเกษตร  กล่าวต่อไปว่า  การกำหนดหลักเกณฑ์ขึ้นทะเบียนเพื่อการอนุญาตนำเข้าวัตถุอันตรายเป็นมาตรการหนึ่งในการควบคุมปริมาณนำเข้าวัตถุอันตราย เพื่อให้เกษตรกรได้ใช้สารเคมีที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดศัตรูพืช ป้องกันไม่ให้ผลผลิตเสียหาย คุ้มค่ากับเงินที่ลงทุนไป และที่สำคัญต้องเป็นสารเคมีที่ปลอดภัยต่อเกษตรกรผู้ใช้ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อมโดยคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย  มีหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย ดังนี้

ลำดับแรกจะพิจารณาตามลำดับการยื่นเอกสาร  หลังจากนั้นจะนำทะเบียนที่ขอยื่นมาแบ่งกลุ่มเป็น 2 กลุ่ม  โดยกลุ่มแรก เป็นวัตถุอันตรายที่มีความปลอดภัย ได้แก่  สารธรรมชาติ   สารชีวภัณฑ์กำจัดศัตรูพืช และกลุ่มสารเคมี ที่ใช้ในพืชอาหาร มีข้อมูลความเป็นพิษน้อยตามหลักเกณฑ์องค์การอนามัยโลก กลุ่มที่สอง เป็นสารเคมีที่ความจำเป็นต้องใช้แต่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ในกลุ่มแรก โดยใช้ข้อมูลการประเมินความเสี่ยงอันตราย และความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ   ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ จะพิจารณาการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายทั้งสองกลุ่มในจำนวนที่เท่ากัน

สำหรับกรณีสารที่ทำการทดลองประสิทธิภาพแบบร่วมกัน ทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการสั่งการให้กรมวิชาการเกษตรส่งเรื่องไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัย ดังนั้นการพิจารณาการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายที่เป็นแผนการทดลองประสิทธิภาพร่วม กรมวิชาการเกษตรจะพิจารณาให้ขึ้นทะเบียนได้เฉพาะผู้ทำการทดลองประสิทธิภาพหลัก ส่วนผู้ทำการทดลองร่วมให้รอคำวินิจฉัยจากกฤษฎีกา หากคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นชอบให้ทำการทดลองประสิทธิภาพร่วมกันได้   กรมวิชาการเกษตรจะอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนได้

นายสุวิทย์   กล่าวต่อไปว่า นอกจากกำกับดูแลด้านปัจจัยการผลิตทางการเกษตรให้มีคุณภาพตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว  กรมวิชาการเกษตรยังสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคโดยสุ่มตรวจติดตามเฝ้าระวังสารตกค้างในผักและผลไม้  โดยมีการสุ่มตัวอย่างสินค้าที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP จากแหล่งจำหน่ายต่างๆ เช่น ในห้างค้าปลีกและตลาดค้าส่ง  โดยเน้นชนิดผักและผลไม้ที่ได้รับการแจ้งว่าตรวจพบสารตกค้างบ่อยครั้ง  ซึ่งเป็นภารกิจที่กรมวิชาการเกษตรได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตามแผนปกติอยู่แล้ว

นอกจากนี้ในปี 2560 กรมวิชาการเกษตรมีแผนที่จะตรวจรับรองแปลงของเกษตรกรที่สมัครเข้าสู่ระบบ GAP จำนวน 25,500 แปลง และตรวจต่ออายุแหล่งผลิตพืชที่ได้รับการรับรอง GAP จำนวน 65,113 แปลง  ตรวจรับรองแปลงของเกษตรกรที่สมัครเข้าสู่ระบบเกษตรอินทรีย์จำนวน 1,008 แปลง  และตรวจต่ออายุแหล่งผลิตพืชที่ได้รับการรับรองเกษตรอินทรีย์อีกจำนวน 1,192 แปลง  พร้อมกับสุ่มตัวอย่างผลผลิตที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน GAP จากแหล่งผลิตและจำหน่ายรวม 9,483 ตัวอย่าง  เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่าเกษตรกรยังปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และข้อกำหนดในระบบ GAP

“จะเห็นได้ว่าภารกิจที่กรมวิชาการเกษตรรับผิดชอบนั้นมีความเชื่อมโยงกันตั้งแต่ต้นน้ำคือ การตรวจสอบและกำกับดูแลปัจจัยการผลิตทางการเกษตรให้เป็นไปตามคุณภาพที่กฎหมายกำหนด  กลางน้ำคือการตรวจรับรองแปลงของเกษตรกรให้เข้าสู่ระบบ GAP และเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นระบบการผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพและความปลอดภัย  ไปถึงการดูแลตรวจติดตามคุณภาพและความปลอดภัยของผลผลิตในแหล่งจำหน่าย  เพื่อสร้างเชื่อมั่นในความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภคตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง” อธิบดีกรมวิชาการเกษตรกล่าว