‘ทีซีซี แลนด์’อัด 4 หมื่นล้านสยายปีก‘รีเทล’ ส่ง 5 แพลตฟอร์มรุกตลาดใน-ต่างประเทศ
ทีซีซี แลนด์ เปิดเผย 5-10 ปีทุ่ม 3-4 หมื่นล้านบาท ปักหมุด 20 โครงการใหม่ทั้งไทย-เทศ ชู 5 แพลตฟอร์ม "เอเชียทีค/เกตเวย์/พันธุ์ทิพย์/เซ็นเตอร์พอยท์/บ็อกซ์สเปซ" เรือธงขยายคลุมธุรกิจรีเทล คาดโกยรายได้ทะลุ 4,800 ล้านบาทเติบโต 140% ในอีก 5 ปี
นายณภัทร เจริญกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มไลฟ์สไตล์ กลุ่มบริษัท ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าเอเชียทีค, เกตเวย์ เอกมัย , พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ ฯลฯ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า แผนการลงทุนในระยะ 5-10 ปีนี้ บริษัทเตรียมใช้งบลงทุน 3-4 หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 3,000 – 4,000 ล้านบาท สำหรับการขยายการลงทุนในธุรกิจรีเทล 5 แพลตฟอร์ม ได้แก่ เอเชียทีค,เกตเวย์,พันธุ์ทิพย์ ,เซ็นเตอร์พอยท์และบ็อกซ์สเปซ หลังจากที่พบว่าทั้ง 5 แพลตฟอร์มสามารถตอบโจทย์ได้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ส่งผลให้ในปีนี้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 11% สูงกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ และบริษัทไม่มีการลงทุนขยายสาขาใหม่เลย
สำหรับแผนการดำเนินงานจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนได้แก่ 1. การลงทุนโครงการใหม่ทั้ง 5 แพลตฟอร์มในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล รวมทั้งสิ้น 8-10 โครงการ 2. การพัฒนาโครงการในต่างจังหวัด ซึ่งจะเป็นการผสมผสานโนว์ฮาวจากทั้ง 5 แพลตฟอร์มให้เกิดเป็นแบรนด์ใหม่ ตอบโจทย์ในแต่ละทำเลจำนวน 10 โครงการ และการขยายการลงทุนในต่างประเทศ จากปัจจุบันที่มีนักธุรกิจสนใจเข้ามาติดต่อให้เข้าไปลงทุนทั้งในจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และเวียดนาม โดยรูปแบบการลงทุนอยู่ระหว่างการศึกษา ซึ่งสามารถเข้าไปลงทุนได้ทั้งการร่วมทุน , การเข้าไปลงทุนเอง และการเข้าซื้อกิจการ
"การเทกโอเวอร์เป็นอีกแนวทางการลงทุนที่น่าสนใจ เพราะการก่อสร้างต้องใช้ต้นทุนสูง แต่การเข้าซื้อกิจการเพื่อมาเปลี่ยนแปลงง่ายกว่า สะดวกกว่า และถูกกว่า"
ด้านการลงทุนในปีหน้า บริษัทจะยังไม่มีการขึ้นโครงการใหม่ แต่จะใช้งบลงทุนราว 2,200 ล้านบาท สำหรับการลงทุนโครงการศูนย์การค้าเกตเวย์ บางซื่อต่อเนื่อง ซึ่งเป็นโครงการมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท ขณะนี้ตอกเสาเข็มแล้วเสร็จ จะเริ่มก่อสร้างต่อทันที คาดว่าใช้ระยะเวลาราว 2 ปี และเปิดให้บริการปลายปี 2561 นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงศูนย์การค้าเอเชียทีคเดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ พร้อมขยายท่าเรือเป็น 3 ท่าเพื่อรองรับเรือโดยสาร และเรือจากโรงแรมต่างๆ ซึ่งจะทำให้ที่นี่เป็นฮับท่าเรือของเจ้าพระยา สามารถรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้มากขึ้น และยังมีแผนรีโพสิชั่นนิ่งศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ บางกะปิ และพันธุ์ทิพย์ เชียงใหม่ เพื่อให้มีความชัดเจนและตอบรับตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น หลังจากที่ปีนี้ได้พลิกโฉมใหม่พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ จนประสบความสำเร็จ
นายณภัทร กล่าวอีกว่า บริษัทชะลอการลงทุนในโครงการค้าปลีกไฮเวย์ออกไป หลังจากศึกษาแล้วพบว่าไม่คุ้มทุน ผลตอบแทนต่ำและมีความเสี่ยงสูง ดังนั้นจึงควรหันไปลงทุนในทำเลอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า และมีความเสี่ยงต่ำกว่า ส่วนที่ดินที่มีอยู่จะศึกษาถึงโอกาสและการลงทุนอื่นๆ ต่อไป
"ในปีหน้าเอเชียทีคฯ จะมีการจัดกิจกรรมตลอดปี เพื่อรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยว แบ่งเป็นชาวไทย 40%และต่างชาติ 60% ได้แก่ ไต้หวัน จีน เกาหลี ฮ่องกง อินโดนีเซีย และโซนยุโรป ขณะที่เกตเวย์ เอกมัยจะเน้นเสริมร้านค้าและบริการใหม่ๆ เช่น HomePro Living แพลตฟอร์มใหม่ สำหรับกลุ่มลูกค้าคนเมือง , Stanley Miniventureเมืองจำลอง , Office Zone และ Bunka Fashion Academy สถาบันบุนกะแฟชั่น สถาบันสอนการออกแบบและตัดเย็บเสื้อผ้าแฟชั่น ส่วนพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ จะเพิ่มงบการตลาดเป็น 2 เท่าเพื่อสร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มเป้าหมาย พร้อมจับมือกับพันธมิตรเปิดพื้นที่ Complete Solution Banana Business บริการ Smart Solution บนพื้นที่กว่า 1,200 ตารางเมตร ด้านเซ็นเตอร์พอยท์ออฟสยามสแควร์ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นศูนย์รวมแฟล็กชิฟสโตร์แบรนด์ความงามระดับโลก พบว่ามีลูกค้าเข้ามาใช้บริการราว 6.5 หมื่นคนต่อวัน จะเปิดร้านและโซนใหม่ๆ มากขึ้น อาทิร้าน Bongousse ไรซ์เบอเกอร์สูตรต้นตำรับจากเกาหลี เป็นต้น"
ในปีหน้าบริษัทตั้งเป้าที่จะมีรายได้ 2,300 ล้านบาทเติบโตขึ้น 15% จากปีนี้ที่มีรายได้ 2,000 ล้านบาท จากการดำเนินงานทั้ง 8 โครงการ เติบโตขึ้น 11% จากปีก่อน และตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 4,800 ล้านบาท หรือเติบโต 140% ในอีก 5 ปีข้างหน้าจากการขยายการลงทุนใหม่ๆ ข้างต้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,213 วันที่ 27 - 30 พฤศจิกายน 2559