คว้า‘คิตตี้’รุกตลาดคาแรกเตอร์ ที.เอ.ซี.ฯแตกไลน์ปั้นสินค้า 5 การ์ตูนดังขายผ่านเซเว่นฯ

23 พ.ย. 2559 | 06:00 น.
ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ แตกไลน์ธุรกิจรุกตลาดสินค้าคาแรกเตอร์การ์ตูน ดึง 5 แบรนด์ดังของค่ายซานริโอ ผลิตเป็นเครื่องเขียน นอนฟูด คอสเมติก เครื่องดื่ม และอาหารแปรรูปขายผ่านร้านเซเว่นฯ 6,500 แห่ง ชิมลางก่อนลุยตลาดเต็มตัว พร้อมขยายสู่ธุรกิจข้างเคียง

นายชนิตสุวรรณพรินทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ได้รับสิทธิ์จาก Sanrio Wave Hong Kong Co.,Ltd. ให้ใช้ช่วงสิทธิ์เครื่องหมายการค้า ตัวการ์ตูน 5 คาแรกเตอร์ ประกอบด้วยเฮลโลคิตตี้ (Hello Kitty) มาย เมโลดี้ (My Melody) เคโระเคโระเคโรปิ (KeroKerokeroppi) ปอมปอม ปูริน (Pompompurin) และ แบดแบด มารุ (Bad badtzmaru) เพื่อผลิตสินค้าออกจำหน่ายผ่านช่องทางร้านเซเว่นอีเลฟเว่น จำนวน 6,500 แห่ง โดยกำหนดวางจำหน่ายสินค้าให้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 นี้

สำหรับสินค้าที่ผลิตและจำหน่ายแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มสินค้า 1. กลุ่มเครื่องเขียน (Stationary) 2. กลุ่มไม่ใช่อาหาร (Non-Food) 3. กลุ่มเครื่องสำอาง (Cosmetic) 4. กลุ่มเครื่องดื่ม (Beverage) และ 5. กลุ่มอาหารแปรรูป (Processed Food) โดยจะมีสินค้าที่ผลิตจากคาแรกเตอร์ตัวการ์ตูนครบทั้ง 5 แบบ ซึ่งมีเฮลโลคิตตี้เป็นคาแรกเตอร์หลักของสินค้าแต่ละกลุ่ม ยกเว้นกลุ่มเครื่องสำอางที่จะมีเฉพาะคาแรกเตอร์เฮลโลคิตตี้เท่านั้น ส่วนราคาจำหน่ายเริ่มต้นตั้งแต่ 19-159 บาท มีรายการสินค้าทั้งหมด 22 รายการ

การเข้าสู่ตลาดคาแรกเตอร์เป็นเพราะบริษัทมองเห็นโอกาสทางการตลาด จากขนาดตลาดคาแรกเตอร์ที่มีมูลค่าสูง และเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคคนไทย เห็นได้จากสินค้าที่ผลิตด้วยคาแรกเตอร์มีจำนวนมาก และมีหลายคาแรกเตอร์ ทั้งที่เป็นของลิขสิทธิ์และของลอกเลียนแบบ ประกอบกับบริษัทมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ที่ได้ทำธุรกิจร่วมกันมานาน และทางซานริโอมีความต้องการขยายตลาดสู่ช่องทางร้านสะดวกซื้อ บริษัทจึงได้เข้ามาดำเนินธุรกิจดังกล่าว ซึ่งสินค้าที่บริษัทได้รับสิทธิ์จะมีจำหน่ายเฉพาะร้านเซเว่นอีเลฟเว่นเท่านั้น

" การจัดจำหน่ายสินค้าคาแรกเตอร์ถือเป็นคาแรกเตอร์โปรเจ็กต์ ที่เห็นโอกาสทางการตลาด ประกอบกับซานริโอต้องการขยายตลาดผ่านช่องทางร้านสะดวกซื้อ และจำหน่ายสินค้าราคาไม่เกิน 199 บาท จึงได้ทำโครงการนี้มา บริษัทคาดว่าจะทำรายได้ 41 ล้านบาทจากโครงการนี้ โดยได้เตรียมงบประมาณการทำตลาดไว้ 10% ของยอดขาย ซึ่งเน้นการทำการตลาด ณ จุดขายเป็นหลัก และการทำตลาดร่วมกับร้านเซเว่นฯ ขณะที่แนวทางการสร้างแบรนด์และการสื่อสารการตลาด จะเน้นใช้ช่องทางออนไลน์ ผ่านไอจีของบริษัทเป็นหลัก หากโครงการนี้สำเร็จก็อาจจะมีการต่อสัญญาเพื่อผลิตและจำหน่ายสินค้าต่อไป รวมถึงอาจจะมีการซื้อลิขสิทธิ์คาแรกเตอร์ตัวการ์ตูนอื่นๆ มาเพิ่มเติมก็ได้"

ขณะเดียวกัน บริษัทยังได้ขยายธุรกิจข้างเคียงกับธุรกิจหลัก ด้วยการขยายสู่ธุรกิจเบเกอรี่ในกลุ่มประเภทโดนัทสไตล์ญี่ปุ่น แบรนด์อะสไมลล์ ออกจำหน่าย 1 รสชาติ ในราคา 12 บาท ซึ่งจำหน่ายเฉพาะร้านเซเว่นฯ เท่านั้น โดยภายในสิ้นปีนี้ยังเตรียมเพิ่มรายการสินค้าใหม่อีก 1 รสชาติด้วย ซึ่งบริษัทได้เข้าร่วมพัฒนาและลงทุนด้านการผลิตร่วมกับบริษัทผู้ผลิตโดนัทแห่งหนึ่ง ซึ่งคาดว่าภายในระยะ 1 ปีนับจากนี้จะทำยอดขายได้ 50 ล้านบาท ทั้งนี้ การที่บริษัทขยายธุรกิจจัดหน่ายโดนัท เนื่องจากที่ผ่านมาจะต้องซื้อสินค้ามาใช้สำหรับการจัดรายการส่งเสริมการขาย ในลักษณะชุดคอมโบเซตปีละ 5 ครั้ง ซึ่งต้องเสียงบประมาณให้กับผู้จำหน่ายสินค้าเบเกอรี่อยู่แล้ว การผลิตเบเกอรี่ออกมาจำหน่ายจึงช่วยด้านการบริหารต้นทุน และการเพิ่มโอกาสสร้างรายได้เพิ่มอีกหนึ่งช่องทางด้วย

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,211 วันที่ 20 - 23 พฤศจิกายน 2559