หนีเสือปะจระเข้ รัฐบาลยุบสภา เข้าทาง “ทหารยึด”

12 ธ.ค. 2568 | 09:00 น.
อัปเดตล่าสุด :12 ธ.ค. 2568 | 09:14 น.

หนีเสือปะจระเข้ รัฐบาลยุบสภา เข้าทาง“ทหารยึด” : รายงานพิเศษ โดย..พรานบุญ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

KEY

POINTS

  • รัฐบาลอนุทินประกาศยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่ จากประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญในที่ประชุมรัฐสภา
  • การยุบสภาเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งนำไปสู่การประกาศใช้กฎอัยการศึกในบางพื้นที่
  • สถานการณ์สู้รบอาจเป็นเหตุให้ทหารขยายพื้นที่ประกาศใช้กฎอัยการศึก ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ และ เปิดทางให้ทหารเข้ามาควบคุมอำนาจบริหารประเทศ

ในที่สุดรัฐบาลเสียงข้างน้อยของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี จากพรรคภูมิใจไทย ที่มี “พรรคประชาชน เป็นนายประกัน” เดินสู่ปลายทาง ด้วยการประกาศยุบสภา เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ถือเป็นรัฐบาลที่มีอายุการทำงานแค่ 78 วัน นับจากถวายสัตย์ฯ รับตำแหน่ง เมื่อ 24 กันยายน 2568 

ถือเป็นรัฐบาลที่มีระยะการทำงานบริหารประเทศสั้นที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของประเทศไทย 

 

นายกรัฐมนตรีอายุสั้นที่สุด เป็นยุค “ทวี บุณยเกตุ” ดำรงตำแหน่งเพียงแค่ 17 วัน (31 มี.ค. – 17 เม.ย. 2500) เพราะเข้าทำหน้าที่รักษาการนายกฯ ระหว่างรอการแต่งตั้ง จอมพล ป. พิบูลสงคราม กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

นายกรัฐมนตรี อายุสั้นอันดับสอง เป็นยุค “พล.อ.สุจินดา คราประยูร” ดำรงตำแหน่งเพียงแค่ 47 วัน (7 เม.ย. 2535 – 24 พ.ค. 2535) ต้องลาออกหลังเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ" จากแรงกดดันมหาศาลของประชาชน เพราะเข้ามาเป็น “นายกฯ คนนอก” ที่ก่อให้เกิดการประท้วงใหญ่ จนนำไปสู่ความรุนแรงและจบลงด้วยการลาออก

นายรัฐมนตรีอายุสั้นคนที่สาม เป็นยุค “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ดำรงตำแหน่งเพียงแค่ 75 วัน (24 ก.ย.2551 – 2 ธ.ค. 2551 ) ต้องพ้นจากตำแหน่งหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชน ส่งผลให้พ้นจากตำแหน่งตามไปด้วย
รัฐบาลอนุทินมีอายุการทำงาน แซงหน้ารัฐบาล “สมชาย ตุหรัดตุเหร่" ไปเพียงแค่ 3 วัน!!!

ต้นเหตุของการตัดสินใจยุบสภา เกิดขึ้นในค่ำคืนของวันที่ 11 ธันวาคม 2568 เมื่อที่ประชุมร่วมรัฐสภา มีมติ “329 ต่อ 302” ไม่เห็นด้วยกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256/28 ซึ่งมีสาระสำคัญคือ การตัดอำนาจของ สว. 1 ใน 3 ในการให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมี สส. พรรคภูมิใจไทย พรรคร่วมรัฐบาล และ สว. ร่วมโหวตสนับสนุน

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน จึงแถลงในรัฐสภาว่า ถ้าพรรคภูมิใจไทยไม่โหวตตามที่ต้องการ พรรคประชาชนก็จะไม่สนับสนุน และขอให้นายกฯ ยุบสภา

นายอนุทิน จึงประกาศ "ขอคืนอำนาจกลับไปยังพี่น้องประชาชน" ผ่านเฟซบุ๊กทันที ทำเอานักการเมืองตั้งตัวกันไม่ทัน

ผลที่ตามมาหลัง นายอนุทิน ประกาศยุบสภา ทำให้ “คณะรัฐมนตรีรัฐบาลอนุทิน” ต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่า ครม. ชุดใหม่จะเข้ารับหน้าที่ แต่มี "ข้อห้าม" ไม่ให้กระทำการใน 4 เรื่อง ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 ได้แก่

*** ห้ามอนุมัติงาน/โครงการใหม่ที่มีผลผูกพัน ครม. ชุดใหม่

*** ห้ามแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ พนักงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจาก กกต. ก่อน

*** ห้ามอนุมติใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจาก กกต. ก่อน

*** ห้ามใช้ทรัพยากรของรัฐ/บุคคลของรัฐ เพื่อประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้ง

ถ้ากลไกเป็นไปตามรัฐมธรรมนูญ มาตรา 103 และ มาตรา 175 เมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตรา พ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร การยุบสภาจะมีผลใช้บังคับทันที ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา และให้มีการเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไป ในวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศกำหนดซึ่งต้องไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันที่ พ.ร.ฎ.นี้ใช้บังคับ

นั่นเท่ากับว่า ห้วงเวลาในการคืนอำนาจให้ประชาชนไปเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป จะอยู่ในช่วงวันที่ 26 มกราคม – 10 กุมภาพันธ์ 2569  

แต่เส้นทางการยุบสภาในบริบททางการเมืองผ่านการเลือกตั้งของประชาชน จะไปสู่ปลายทาง เพื่อให้ได้รัฐบาลใหม่มาบริหารประเทศ จะเป็นไปตามเส้นทางนี้หรือไม่ ไม่มีอะไรเป็นเครื่องรับประกันแม้แต่นิดเดียว!!!
ทำไมเป็นเช่นนั้น !!! 

เพราะสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา จนนำมาซึ่งการสู้รบและปฏิบัติการทางทหาร ในพื้นที่ชายแดนครอบคลุมถึง 7 จังหวัด อันได้แก่  “อุบลราชธานี-สุรินทร์-บุรีรัมย์-ศรีษะเกษ-สระแก้ว-จันทบุรี-ตราด” จนต้องอพยพประชาชนไปแล้วร่วม 2 แสนคน

จนในพื้นที่ภาคตะวันออก กองกำลังบูรพาออกประกาศที่ 166/2568 เรื่อง ห้ามบุคคลออกนอกเคหสถานภายในระหว่างระยะเวลาที่กำหนดประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2568

ข้อ 1 ห้ามบุคคลออกนอกเคหสถานภายในระหว่างระยะเวลา 19.00-05.00 น. ในพื้นที่ 4 อำเภอ จังหวัดสระแก้ว ตามแนวชายแดน ได้แก่ อ.ตาพระยา อ.โคกสูง อ.อรัญประเทศ และ อ.คลองหาด

ข้อ 2 ใช้มาตรการตามกฎหมาย ให้การปฏิบัติยังคงเป็นไปตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช 2457 อย่างเคร่งครัด อำนาจที่ให้นี้ ครอบคลุมถึงการควบคุมพื้นที่ การควบคุมบุคคล การตรวจค้นที่อาจก่อให้เกิดความไม่สงบ หรือกระทบต่อความมั่นคง

ข้อ 3 การมีผลบังคับใช้ประกาศนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ลงนามเป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง เป็นอย่างอื่น

และถ้าสถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น การสู้รบยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง ไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยไปหากว่า “ทหาร”จะประกาศใช้ “กฎอัยการศึก” เพื่อควบคุม ดูแลความสงบเรียบร้อย เพื่อป้องกันประเทศให้พ้นจากภัยคุกคาม รักษาไว้ซึ่งอธิปไตยของชาติ ตลอดจนชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในแต่ละพื้นที่

ในบริบทการบริหารประเทศในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ไม่เคยมีประเทศใด ที่จะมีการเลือกตั้งในภาวะที่สงคราม การสู้รบที่กระทบต่อชีวิต ทรัพย์สิน อินแดน อำนาจอธิปไตย ปะทุรุนแรง

                             หนีเสือปะจระเข้ รัฐบาลยุบสภา เข้าทาง “ทหารยึด”

ปัญหาที่ชวนขบคิด ภายใต้ประเทศไทยที่อยู่ในห้วงของการทำศึกสงครามในขณะนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งจะจัดการเลือกตั้งเป็นการทั่วไปได้อย่างไร 

เพราะบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และผลวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเคยสร้างบรรทัดฐานไว้ว่า “การเลือกตั้งทั่วไป ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งพร้อมกันในวันเดียวทั่วราชอาณาจักร"

โดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 102 กำหนดไว้ชัดว่า “เมื่ออายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง พระมหากษัตริย์จะได้ทรงตรา พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในสี่สิบห้าวัน นับแต่วันที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุ...

ในวรรสอง ระบุว่า “การเลือกตั้งตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักรตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกําหนดในราชกิจจานุเบกษา”

นั่นหมายถึงว่า ถ้าทหาร มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกจากปัญหาการทำสงคราม การสู้รบในบางพื้นที่ หรือ บังคับใช้ในหลายจังหวัด การเลือกตั้งทั่วไปในห้วงเดือนกุมภาพันธ์ 2569 จะมีปัญหาทันที!!!

นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 104 เปิดช่องว่างรูใหญ่ไว้เสียด้วยว่า “ในกรณีที่มีเหตุจําเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เป็นเหตุให้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งตามวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกําหนดตามมาตรา 102 หรือมาตรา 103 คณะกรรมการการเลือกตั้ง จะกําหนดวันเลือกตั้งใหม่ก็ได้ แต่ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่เหตุดังกล่าวสิ้นสุดลง....

แต่เพื่อประโยชน์ในการนับอายุตามมาตรา  95 (2) และมาตรา  97  (2) ให้นับถึงวันเลือกตั้งที่กําหนดไว้ตาม มาตรา 102  หรือมาตรา 103 แล้วแต่กรณี”

ไทม์ไลน์ในการเลือกตั้ง จึงอาจติดกับดักของ “กฎอัยการศึก” จากปัญหาสงครามไทย-กัมพูชา เข้าจั๋งหนับ!!!

พ่ายเกมการเมืองจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเวทีรัฐสภาไม่พอ อาจต้องมาพ่ายศึก ในอำนาจของการประกาศใช้กฎอัยการศึกของทหาร ที่ทำหน้าที่ปกป้องอธิบไตย ราชอาณาจักร ดินแดน และประชากร เข้าอีกรอบก็เป็นไปได้

เพราะความพิเศษของการประกาศกฎอัยการศึกนั้น มีฤทธิ์เหลือร้าย “ถ้าได้ประกาศใช้เมื่อใด หรือที่ใดแล้ว จะ “ยกเว้น” กฎหมายอื่นทั้งหมด ข้อความในพระราชบัญญัติ หรือ กฎหมายใดที่ขัดกับความของกฎอัยการศึก จะบังคับใช้ภายใต้บทบัญญัติของกฎอัยการศึกแทน”

ในทางกฎหมาย การใช้กฎอัยการศึก มิใช่การรัฐประหาร แต่ถูกนำมาใช้ในเชิงการใช้อำนาจในการบริหารแทนที่พลเรือน
ในพื้นที่ที่ใช้กฎอัยการศึก ทหารจะมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน ในส่วนที่เกี่ยวกับการยุทธ การระงับปราบปราม หรือการรักษาความสงบเรียบร้อย (มาตรา 6) 

อำนาจตรวจค้น (มาตรา 9) ไม่ว่าที่ตัวบุคคล ยานพาหนะ เคหะสถาน สิ่งปลูกสร้าง หรือที่ใดๆ และไม่ว่าเวลาใดๆ โดยสิ่งที่ตรวจค้นได้ อาจเป็นสิ่งของที่ต้องห้าม ต้องยึด หรือ สิ่งของที่มีไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตรวจข่าวสาร จดหมาย โทรเลข หีบ ห่อ หรือสิ่งอื่นใด ที่ส่งหรือมีไปมาถึงกันในเขตที่ประกาศใช้กฎอัยการศึก และ ตรวจหนังสือ สิ่งพิมพ์ หนังสือพิมพ์ 

อำนาจเกณฑ์ (มาตรา 10) ทหารมีอำนาจเกณฑ์พลเมืองให้ช่วยกำลังทหาร เพื่อป้องกันราชอาณาจักรหรือเพื่อช่วยเหลือภารกิจราชการทหารก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถเกณฑ์ยวดยาน  สัตว์พาหนะ เสบียงอาหาร อาวุธ และ เครื่องมือเครื่องใช้

อำนาจห้าม (มาตรา 11) มั่วสุมประชุมกัน ออก จำหน่าย จ่ายหรือแจก ซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หนังสือพิมพ์ ภาพ บทหรือคำประพันธ์ โฆษณา แสดงมหรสพ รับหรือส่งซึ่งวิทยุ วิทยุกระจายเสียง หรือวิทยุโทรทัศน์ ใช้ทางสาธารณะ เครื่องมือสื่อสารหรืออาวุธ เครื่องอุปกรณ์ของอาวุธ ห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถานภายในระหว่างระยะเวลาที่กำหนด

ห้ามบุคคลเข้าไปหรืออาศัยอยู่ในเขตท้องที่ใดซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารเห็นว่าเป็นการจำเป็น เพื่อการยุทธ การระงับปราบปราม หรือการรักษาความสงบเรียบร้อย  

อำนาจยึด (มาตรา 12) หากทหารเห็นว่า จำเป็น จะยึดสิ่งที่ได้จากการตรวจค้น การเกณฑ์ หรือ การห้ามไว้ชั่วคราว เพื่อไม่ให้เป็นประโยชน์ต่อศัตรู หรือเพื่อประโยชน์ต่อราชการทหารก็ได้

อำนาจทำลายหรือเปลี่ยนแปลงสถานที่ (มาตรา 14) ในกรณีที่มีสงครามหรือสู้รบกับศัตรู ทหารมีอำนาจเผาบ้านและสิ่งที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อศัตรู รวมถึงสิ่งที่กีดขวางการสู้รบ  หรือเตรียมการป้องกันรักษา

อำนาจขับไล่ (มาตรา 15) หากมีความสงสัยหรือจำเป็น ทหารมีอำนาจขับไล่ผู้ที่ไม่มีภูมิลำเนาเป็นหลักเป็นฐาน ที่เข้ามาอยู่ตำบลนั้นชั่วคราวได้

อำนาจกักตัวบุคคล (มาตรา 15 ทวิ) หากมีเหตุควรสงสัยว่าใครจะเป็นศัตรู หรือใครที่ฝ่าฝืนพ.ร.บ.กฎอัยการศึกฯ หรือคำสั่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร มีอำนาจกักตัวบุคคลนั้นไว้เพื่อความจำเป็นของทางราชการทหารได้ แต่ต้องไม่เกินเจ็ดวัน

การใช้อำนาจพิเศษควบคุมตัวบุคคล ตามพ.ร.บ.กฎอัยการศึกฯ สามารถทำได้โดยไม่ต้องมีหมายศาล ควบคุมตัวบุคคลไว้ที่ใดก็ได้ ไม่ต้องแจ้งข้อกล่าวหา และไม่ต้องแจ้งเหตุแห่งการต้องกักตัวแต่อย่างใด และแม้ไม่ใช่การกระทำผิดซึ่งหน้า 

แอ่น แอ๊น เข้าทางลายพรายแห่งฟากอนุรักษ์นิยม โดยไม่ต้องออกแรงแม้แต่น้อย!!!

รายงานพิเศษ โดย..พรานบุญ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์