สถานการณ์การเมืองไทยถึงจุดเดือดกันอีกครั้ง หลังจากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภา ต่อมาราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่พระราชกฤษฎีกาช่วงเช้ามืดของวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมาซึ่งในทางการเมืองแล้วไม่ใช่เรื่องใหม่
การประกาศยุบสภาครั้งล่าสุดเกิดขึ้นหลังวันรัฐธรรมนูญซึ่งตรงกับวันที่ 10 ธันวาคมของทุกปี เพียง 1 วัน โดยในครั้งนี้ นายอนุทิน นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เกิดขึ้นเนื่องจากโครงสร้างการเมืองที่รัฐบาลเป็นเพียงรัฐบาล "เสียงข้างน้อย" ที่ต้องพยุงตัวเองท่ามกลางความไม่แน่นอนของสภาผู้แทนราษฎร ทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพทางการเมือง
การบริหารประเทศเป็นไปด้วยความติดขัด เสี่ยงต่อความเชื่อมั่นจากนานาชาติและอาจทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขดำเนินอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ประเทศติดหล่มและเพื่อคืนอำนาจการตัดสินใจให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดโดยเร็ว
หากย้อนกลับไปบนถนนการเมืองไทยตลอดระยะเวลากว่า 90 ปีที่ผ่านมามีการยุบสภามาแล้วหลายครั้ง ข้อมูลจาก "คลังสารสนเทศรัฐสภา" ระบุว่า กว่า 9 ทศวรรษ มีการยุบสภาเกิดขึ้นมาแล้ว 15 ครั้ง
สำหรับครั้งนี้เป็นครั้งที่ 16 ปฏิเสธไม่ได้ว่าการยุบสภาในแต่ละครั้งนั้นเป็นตัวชี้วัดที่สะท้อนให้เห็นความไม่มั่นคงทางเสถียรภาพของการเมืองซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ดังนี้
1. แพ้มติ/ขาดเสถียรภาพ
สาเหตุนี้เกิดขึ้นกับการเมืองไทยมากที่สุดเมื่อรัฐบาลไม่สามารถควบคุมเสียงในสภาได้ หรือมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงเกิดขึ้นภายในพรรคร่วมรัฐบาลส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถบริหารประเทศต่อไปได้ ยกตัวอย่างเช่น การยุบสภาในปี 2481, 2519, 2529, 2531, 2538, 2539, 2554 และล่าสุด 2568
2. ความขัดแย้งด้านนโยบายหรือร่างกฎหมาย
สาเหตุนี้เกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลพยายามผลักดันกฎหมายสำคัญ ๆ เช่น การนิรโทษกรรม หรือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมอย่างกว้างขวางจนทำให้เกิดแรงต้านและวิกฤตทางการเมืองตามมา เช่น กรณีที่เกิดขึ้นในปี 2488 สมัยรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ที่เกิดความขัดแย้งเรื่องกฎหมายอาชญากรสงคราม และในปี 2529 สมัยพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่มีการคัดค้านการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญระบบบัญชีรายชื่อ เป็นต้น
3. วิกฤตการเมือง/เศรษฐกิจและการชุมนุม
การยุบสภาในสถานการณ์นี้มักเป็นผลพวงจากการชุมนุมใหญ่หรือวิกฤตทางเศรษฐกิจที่ทำให้รัฐบาลต้องคืนอำนาจให้กับประชาชนเพื่อหาทางออก ภาพสะท้อนชัดเจน คือ กรณีการยุบสภาในปี 2535 จากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เป็นต้น
4. กลยุทธ์ทางการเมือง
การยุบสภาเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมือง เช่น การกำหนดจังหวะการเลือกตั้งใหม่เพื่อให้ผู้สมัครสามารถย้ายพรรคได้ทันเวลาดังที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อปี 2566
ย้อนรอยประวัติศาสตร์การยุบสภาไทย
11 กันยายน 2481 : พันเอก พระยาพหลพลหยุหเสนา แพ้มติในสภาเรื่อง พ.ร.บ. งบประมาณ
15 ตุลาคม 2488 : ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ขัดแย้งกฎหมายอาชญากรสงคราม
12 มกราคม 2519 : ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ความขัดแย้งภายในรัฐบาลและปัญหาเรื้อรัง
19 มีนาคม 2526 : พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ คัดค้านแก้ไขเพิ่มเติม รธน.ระบบบัญชีรายชื่อ
1 พฤษภาคม 2529 : พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ พระราชกำหนดไม่ผ่าน รัฐบาลไร้เสถียรภาพ
29 เมษายน 2531 : พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ พรรคการเมืองไม่มีเอกภาพ
30 มิถุนายน 2535: นายอานันท์ ปันยารชุน วิกฤตการณ์ทางการเมืองพฤษภาทมิฬ
19 พฤษภาคม 2538 : นายชวน หลีกภัย พรรคการเมืองไม่มีเอกภาพ
28 กันยายน 2539: นายบรรหาร ศิลปอาชา เกิดความขัดแย้งในการบริหารและความแตกแยกของรัฐบาล
9 พฤศจิกายน 2543: นายชวน หลีกภัย วิกฤติเศรษฐกิจ
24 กุมภาพันธ์ 2549: นายทักษิณ ชินวัตร วิกฤตการณ์ทางการเมืองเกิดการชุมนุมเรียกร้องให้ลาออก
10 พฤษภาคม 2554 : นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เกิดความขัดแย้งทางการเมืองและการแก้รัฐธรรมนูญ
9 ธันวาคม 2556 : นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ความขัดแย้งทางการเมือง
20 มีนาคม 2566 : พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เปิดทางย้ายพรรคก่อนครบกำหนด 90 วัน
2 กันยายน 2568: นายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐบาลเสียงข้างน้อย ความขัดแย้งทางการเมือง
11 ธันวาคม 2568: นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐบาลขาดเสถียรภาพ รัฐบาลเสียงข้างน้อย