KEY
POINTS
บันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง รัฐบาลไทย กับ สหรัฐอเมริกา ว่าด้วย “ความร่วมมือในการสร้างความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญและการส่งเสริมการลงทุน” กลายเป็นประเด็นร้อนปลายเดือนตุลาคม 2568
แม้รัฐบาลยืนยันว่าเป็นเพียง “ข้อตกลงเบื้องต้น” ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่ในสายตานักวิชาการและภาคประชาชนหลายกลุ่ม มองว่านี่คือ “สัญญาณทางยุทธศาสตร์” ที่สะท้อนการขยับตัวของไทยในสมรภูมิแร่หายาก ซึ่งกำลังเป็นสมบัติที่ทุกชาติต้องการแย่งชิงในศตวรรษนี้
เพราะ “แรร์เอิร์ธ” (Rare Earth Elements) คือ หัวใจของเทคโนโลยีอนาคต ตั้งแต่ แบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ ไปจนถึงอาวุธทางทหาร การควบคุมแหล่งแร่นี้เท่ากับควบคุมเส้นเลือดใหญ่ของอุตสาหกรรมโลก
ปัจจุบัน “จีน” ถือครองกำลังการผลิต “แรร์เอิร์ธ” กว่า 60% ของโลก และควบคุมการแปรรูปมากกว่า 80%
ขณะที่ สหรัฐ ญี่ปุ่น เกาหลี และ สหภาพยุโรป ต่างเร่งหาพันธมิตรใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาจีนมากเกินไป
ไทยถูกมองว่าเป็น “จิ๊กซอว์สำคัญ” เพราะมีแหล่งแรร์เอิร์ธในหลายจังหวัด เช่น พื้นที่ชายแดนจังหวัดเลย หนองคาย อุดรธานี, พื้นที่เหมืองเก่าบริเวณภาคตะวันออก และ ในแหล่งตะกอนหางแร่ดีบุกภาคใต้
4 วัตถุประสงค์ MOU แรร์เอิร์ธ
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 ต.ค.2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า ที่ประชุมได้รับทราบบันทึกความเข้าใจ (MOU) ไทย-สหรัฐ ดังกล่าว โดยย้ำว่า ไม่ใช่สนธิสัญญา หรือ ข้อตกลงทางกฎหมาย จึงไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ แต่มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนาโซ่อุปทาน การวิจัย และการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับแร่หายาก
ทั้งนี้ MOU มีวัตถุประสงค์หลัก 4 ประการ ได้แก่
1. เสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาและขยายห่วงโซ่อุปทานในเรื่องแร่หายาก
2. ส่งเสริมการค้าการลงทุนในอุตสาหกรรมการสำรวจ การสกัด การแปรรูป การกลั่น การรีไซเคิล การกู้คืน รวมทั้งการดูแลรักษาแร่หายาก หมายความว่า ดูทั้งห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นกระบวนการ
3. ส่งเสริมการลงทุนที่สนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มและอุตสาหกรรมการสกัด
4. สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ตลาด โดยให้การใช้ Rare Earth สามารถนำออกมาใช้สู่ตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และ โปร่งใส อีกทั้งเป็นการส่งเสริมการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำด้วย
ส่วนขอบเขตความร่วมมือ ถือเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ ความเชี่ยวชาญทางเทคนิค รวมทั้งแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล ที่เรียกว่าเกี่ยวกับแร่หายากเหล่านี้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของไทย
ขณะเดียวกัน MOU ยังมีกลไกความร่วมมือ คือ ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลของประเทศภาคี สามารถจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ สัมมนา การดำเนินงานด้านวิทยาศาสตร์ร่วมกัน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล หรือกฎระเบียบต่าง ๆ ที่สนใจร่วมกัน พร้อมทั้งให้ความสำคัญในเรื่องของแนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมด้วย
และประเด็นสุดท้าย คือ การให้ประเทศภาคีสามารถประสานงานการคุ้มครองตลาด โดยอิงกลไกตลาด การปฏิบัติการการค้าอย่างเป็นธรรม เพื่อให้มีมาตรฐานในการค้าขาย ซึ่งจะทำให้เกิดเป็นกลไกการกำหนดราคา และกลไกในการดำเนินการตามมาตรฐานสากล
แรร์เอิร์ธปูทางเจรจาภาษีสหรัฐ
เมื่อถามว่ากรณีนี้จะเป็นหนึ่งในการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐ ด้วยหรือไม่ นายเอกนิติ กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นหัวหน้าคณะเจรจา ได้มีโอกาสพูดคุยกับทางผู้แทนการค้าสหรัฐ ซึ่งในหลาย ๆ มิติก็ค่อนข้างให้โอกาสประเทศไทย ในฐานะที่เรามีความสัมพันธ์ที่ดีในหลาย ๆ มิติ โดยที่ไม่ใช่แค่ในเรื่อง MOU นี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เรามีความร่วมลงทุนร่วมศึกษาในร่วมกัน
“ความสัมพันธ์ที่ดีที่แน่นแฟ้น จะเปิดโอกาสให้ประเทศไทยมีโอกาสการเจรจาต่อรองในเรื่องของการค้าต่างตอบแทน เพราะปัจจุบันสหรัฐได้เปิดช่องทางในเอกสารแนบ เปิดทางให้ประเทศที่สหรัฐ มีความสัมพันธ์ที่ดีเจรจาต่อรองสามารถนำสินค้าหรือบริการบางประเภท เพื่อได้รับสิทธิพิเศษ โดยอาจจะเป็นการยกเว้นจากภาษี 19% ในกรอบใหญ่ หรืออาจจะลดภาษีในบางส่วนของสินค้าเป็นรายการ ซึ่งจะต้องนำมาเจรจาต่อไป” นายเอกนิติ กล่าว
MOU ไม่ผูกพันทางกฎหมาย
ด้าน นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ชี้แจงเสริมว่า MOU ฉบับนี้ ใช้คำว่า Participant คือ “คู่ภาคีความร่วมมือ” เป็นคู่ภาคีที่ร่วมมือกันในเรื่องหนึ่ง และไม่มีความผูกพันทางกฎหมายในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแร่ธาตุสำคัญ (Critical minerals) ซึ่งรวมไปถึง Rare Earth ด้วย
สำหรับกรอบในการตกลง เป็นกรอบที่ยึดกรอบการตกลงการทำธุรกิจภายใต้ WTO ซึ่งตั้งอยู่บนความเท่าเทียมกัน ดังนั้น เนื้อหาของ MOU กำหนดคู่ภาคีมีสิทธิที่จะลงทุนสำรวจอะไรต่าง ๆ ในแต่ละประเทศได้ แต่จะต้องเป็นไปตามหลักกฎหมายภายในของแต่ละประเทศ
“ความตกลง MOU นี้เขียนไว้ชัดเจนว่า ไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะฉะนั้นไม่เป็นหนังสือสัญญา ตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ แต่เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา ที่จะร่วมมือกันพัฒนาแร่ธาตุสำคัญ ซึ่งรวม Rare Earth ด้วย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด”
เปิดประมูลแร่โดยเสรี
นายปกรณ์ กล่าวอีกว่า กรณีมีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับข้อกังวลต่าง ๆ ซึ่ง ครม.ก็มีข้อกังวลในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน โดยในการประชุมครม.นัดพิเศษ เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2568 เพื่อพิจารณาในเรื่องนี้ ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ได้แสดงความกังวลในเรื่องดังกล่าว และขอให้การดำเนินการต่าง ๆ จะต้องเป็นไปตามกฎหมายไทย ถ้าจะมีการดำเนินการตาม MOU นี้ สำหรับกรณีที่เข้ามาลงทุนประเทศไทย เช่นเดียวกับการไปลงทุนที่สหรัฐ ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของสหรัฐเช่นเดียวกัน
สำหรับแนวทางการปฏิบัติต่าง ๆ ที่มีการเขียนไว้ ถือเป็นเป้าหมายในการเข้าสู่การเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพของกฎหมาย โดยที่ไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับสหรัฐ เป็นการเฉพาะ และเพื่อที่จะยกระดับคุณภาพกฎหมายของไทย เพื่อทำความตกลงทางด้านการค้าการลงทุนกับ สหภาพยุโรป (EU) ด้วย
ส่วนการใช้คำว่า First Opportunity to Invest ภายใต้เนื้อหาของ MOU นั้น นายปกรณ์ ระบุว่า ข้อความนี้ถ้ายกมาข้อความเดียวอาจจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้ เพราะแท้จริงแล้วมันเริ่มต้นด้วยว่า Participants expect to have first opportunity to invest, in accordance with domestic laws
ดังนั้น ในการดำเนินการต่าง ๆ ภายใต้คำว่า First Opportunity to Invest หมายความว่า เราให้เกียรติซึ่งกันและกันในฐานะที่เป็นคู่สัญญา แต่การดำเนินการนั้น จะต้องมีกฎหมายรองรับ ซึ่งของไทยก็คือกฎหมายแร่ โดยกฎหมายแร่ของไทยก็กำหนดว่า เราจะต้องมีการเปิดประมูลโดยวิธีการที่เสรีและเป็นธรรม และสอดคล้องกับหลักของ WTO
“จริง ๆ ไทยกับสหรัฐ มีสนธิสัญญาไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐ มาตั้งแต่ประมาณปี 1966 โดยคนอเมริกันก็เหมือนกับคนไทยเอง ดังนั้นคนอเมริกันก็ไม่ได้มีแต้มต่ออะไร เพราะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามปกติ ซึ่งเรื่องนี้ก็ผ่านการพิจารณาของ ครม.พิเศษไปแล้ว เมื่อวันที่ 23 ต.ค. วันนี้ก็ได้มีการแจ้งครม.เพื่อทราบ ซึ่งเป็นไปตามระเบียบทั้งหมด” นายปกรณ์ กล่าว
MOU ยกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้
ส่วนสุดท้าย คือ ประเด็นเรื่องการยกเลิก MOU ฉบับนี้ได้หรือไม่ นายปกรณ์ กล่าวว่า MOU ฉบับนี้เขียนไว้ชัดเจนว่า ยกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้
สำหรับข้อกังวลว่า การยกเลิก MOU จะไม่มีผลกระทบต่อสิ่งที่ได้ทำไปแล้วหรือไม่ ซึ่งเห็นว่า ขณะนี้ MOU ยังไม่ได้มีการเริ่มนับหนึ่งในการดำเนินการตาม MOU นี้ ถ้าเกิดมีการดำเนินการตาม MOU นี้ไป ทางกระทรวงอุตสาหกรรม ก็คงต้องพิจารณาตามความเหมาะสมและตามกฎหมายด้านระเบียบของไทยต่อไป