เตะหมูเข้าปากหมา หรือ พายเรือให้โจรนั่ง 

18 ส.ค. 2565 | 02:00 น.

คอลัมน์ข้าพระบาท ทาสประชาชน

ในทางการเมือง มีสำนวนการเมืองอยู่สองประโยค ที่มักจะเกิดขึ้นและมีให้เห็นอยู่เสมอๆ ในการเมืองไทย คือคำว่า "เตะหมูเข้าปากหมา" กับ "พายเรือให้โจรนั่ง" ซึ่งเมื่อได้ยินใครพูดประโยคนี้ ก็แทบไม่ต้องแปลไทยเป็นไทยอีก สำหรับผู้ที่ติดตามการเมืองไทย หรือ การเมืองโลกย่อมจะเข้าใจความหมายนี้ได้ทันที

 

มามองบรรยากาศการเมืองไทย ที่เขากำลังเล่นกันอยู่ผ่านการประชุมรัฐสภาในปัจจุบัน ไม่ว่าจะโดยผ่านเกมเรื่องการพิจารณา พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.…ซึ่งคณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว และมีการปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับมาตรา 23 ที่เกี่ยวกับสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ด้วยการหาร 500 เพื่อจะให้กลับไปใช้ร่าง พ.ร.ป.ฉบับคณะรัฐมนตรี ที่ใช้สูตรหาร 100 โดยวิธีใช้กลเกมทางการเมืองจงใจทำให้การประชุมร่วมกันของ ส.ส.และ ส.ว. ล่มก็ดี  

หรือด้วยเกมการเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเรื่องระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีว่า ครบ 8 ปี ตามรัฐธรรมนูญ 2560 อันจะทำให้ความเป็นนายกรัฐมนตรี ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ "ลุงตู่" ของหลานๆ สิ้นสุดลงแล้วหรือไม่ ของฝ่ายค้านก็ดี ล้วนเป็นเกมทางการเมืองที่ตีปี๊บโหมกระพือ สร้างกระแส ให้บรรลุผลทางการเมืองของฝ่ายตน ส่วนใครที่กระโดดเข้าไปร่วมกระพือปั่นกระแสด้วย ก็อาจเข้าข่ายตามสำนวนการเมืองไทย ที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งสองเรื่องนั้นได้ นี่ก็เป็นเรื่องที่พึงใช้วิจารณญาณของท่านทั้งหลายเอง

 

มีผู้คนที่เคารพรักและนับถือกันหลายท่าน มากระตุ้นผู้เขียนบ้าง กดดันบ้าง หรือเรียกร้องเชิญชวนบ้างว่า ผมทำไมไม่พูดไม่แสดงความคิดเห็น หรือออกไปร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองกับพี่น้องคนอื่นๆ บ้างในเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ใครต่อใครก็ต่างออกมาแสดงความคิดเห็นกัน ยิ่งนักวิชาการและนักกฎหมายหลายท่านต่างดาหน้าออกมาแสดงภูมิกัน หรือตัดสินไปก่อนศาลรัฐธรรมนูญแบบฟันธงว่า ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็ตอบท่านที่รักและเคารพด้วยความสุภาพนอบน้อมไปตามข้อความในประโยคทางการเมืองทั้งสองนั่นแหละครับว่าผม "ไม่อยากเตะหมูเข้าปากหมา" และ "ไม่อยากพายเรือให้โจรนั่ง" ครับ

 

เหตุที่ต้องตอบไปเช่นนั้นก็เพราะว่า ผู้เขียนมีประสบการณ์และบทเรียนชีวิตมามากมายเกินไปแล้วค่อนชีวิตครับ ไม่ต้องนับย้อนไปไกลถึงเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 หรือ 6 ตุลาคม2519 หรอก เอาแค่เหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ในปี 2548-2552 หรือ การชุมนุมของ กปปส.ในปี 2557 ที่ประชาชนเรือนแสนเรือนล้าน สามัคคีกันต่อสู้ด้วยความเหนื่อยยากลำบาก เพื่อให้เกิดการเมืองใหม่ หรือการปฏิรูปประเทศ แบบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนนับร้อย  

แต่ที่สุดตัวเองก็ต้องคดีติดตัวตามมากมาย ยังแก้คดีกันไม่จบจนทุกวันนี้ ผู้บริสุทธิ์ต้องขึ้นโรงศาลทุกวัน บางคนก็ติดคุกติดตะรางไปก็หลายคนหลายคดี แต่พวกที่เสวยดอกผลจากการต่อสู้ด้วยพลังบริสุทธิ์ของประชาชน ก็คือ พวกหมู หรือ พวกโจรทางการเมืองทั้งนั้น ประชาชนหาได้รับผลตอบแทนที่ดีใดๆ แก่ชีวิตของตนแต่อย่างใดไม่ ประเทศชาติบ้านเมือง หรือโฉมหน้าของการเมืองไทย ก็หาได้เกิดการปฎิรูปเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีแต่อย่างใด ยังคงเป็นแบบเดิม ๆหรืออาจจะแย่กว่าเดิมเสียอีก

 

คนที่ผลัดหน้าทาแป้งหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันเข้ามามีอำนาจ ล้วนแต่จำพวกที่กินแรงประชาชน เป็นอีแอบอยู่ข้างหลังคอยตีกินเพื่อเสวยอำนาจทั้งสิ้น ทั้งนี้โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยชื่อ ว่าเป็นใครบ้างฝ่ายใด กลุ่มใดหรือพรรคการเมืองใด ท่านทั้งหลายคงมองเห็นด้วยวิจารณญาณของตนเอง ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องเก็บรับบทเรียน สถานการณ์บ้านเมืองยามนี้ คงจะมีคนคิดเช่นเดียวกันกับผู้เขียนเช่นนี้แหละครับ ไม่ว่าจะมีใครมาชวนประชาชน จะปลุกม็อบด้วยประเด็นใดอย่างไร จึงมักจะจุดไม่ค่อยติดและไร้พลังสนับสนุน แตกต่างจากอดีตที่ผ่านมาเป็นอย่างยิ่ง

 

ดังนั้น การโหมกระพือทางการเมืองเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าเพื่อให้กฎกติกาในการเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงไป ดังที่กำลังพยายามกันอยู่นี้ก็ดี หรือการต้องการให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ พลเอกประยุทธ์ สิ้นลงก็ดี เพื่อจะให้มีนายกรัฐมนตรีรักษาการเข้ามาทำหน้าที่แทน แม้จะเป็นระยะเวลาช่วงสั้นๆ ไม่เกิน 1 ปี ก็ตาม แต่ก็เป็นเวลามากพอที่ผู้คิดเกมนี้ต้องการ หากเกมนี้เป็นไปตามที่คนวางหมากเดินเกมคาดหวัง คือ พลเอกประยุทธ์ ต้องหลุดจากตำแหน่งโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ พวกเขาก็จะสามารถหยุดอำนาจรัฐบาล "ลุงตู่" ให้จบลงแบบเนียนๆ โดยอำนาจศาล ชนิดที่พี่น้องไม่ต้องฆ่ากันเพื่อขึ้นสู่อำนาจ

 

เตะหมูเข้าปากหมา หรือ พายเรือให้โจรนั่ง 

 

จากนั้นหมูที่รออำนาจเข้าปากก็ปรับ ครม.ใหม่ได้ตามความต้องการ จะเอาเพื่อน พี่น้องคนไหน หรือจะดันตนเองไปกินตำแหน่งอะไร ไม่ว่ารัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย หรือกระทรวงสำคัญใดๆ นายกฯรักษาการก็ทำได้ แต่ถ้าหากจะดันคนใหม่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยใช้เสียงสภาฯ ก็สามารถกำหนดตัว วางคนที่ไว้ใจมาแทนตนได้

 

การเมืองหรือประเทศชาติบ้านเมือง จะได้อะไรกับเกมนี้ คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี อาจเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม เพราะรัฐบาลหลัง "ลุงตู่" สิ้นอำนาจ คงจะเป็นการผสมพันธุ์ของนักการเมืองแบบข้ามสปีชี่ส์ ที่ดูอัปลักษณ์แบบหาสายพันธุ์ไม่เจอเลยทีเดียว พวกอีแอบที่คอยตีกินคงจะเบิกบานสนุกสนานกับการจัดสรรอำนาจเพื่อประโยชน์ตนเท่านั้นเอง

 

เมื่อมองเห็นภาพการเมืองที่กำลังจะปรากฏให้เห็นในเบื้องหน้าเช่นนี้ ภายหลังยุค "ลุงตู่" สิ้นอำนาจ จึงไม่เห็นว่าประเทศชาติจะมีอนาคตใหม่ที่ดีกว่าเดิมอย่างไร บ้านเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ขณะนี้อย่างไร และผู้นำประเทศคนใหม่คือใครที่จะมาแทน ที่มีภาพแห่งความซื่อสัตย์ สุจริต ความเป็นผู้นำที่ประชาชนไว้วางใจ นอกจากภาพความชัดเจนที่เห็นกันอยู่ค่อนข้างแน่นอนว่า เกมการเมืองกำลังมุ่งไปสู่ "การเตะหมูเข้าปากหมา" หรือ "การพายเรือให้โจร(ชุดใหม่)นั่ง" เท่านั้น เอง

 

ด้วยเหตุนี้แหละครับ ผมจึงไม่อาจไปกระโดดโลดเต้นกับใคร ขอนั่งอยู่บนภูดู……เขาฟัดกันดีกว่าครับ ส่วนจะทำอะไรก็ได้ที่คิดว่าดีและมีประโยชน์ต่อบ้านเมืองได้ก็จะทำ เท่านี้ก็พอแก่อัตภาพของตนแล้วครับ พี่น้องประชาชนที่รักและเคารพ