สถานการณ์อึมครึม ควรลงทุนหรือไม่

03 เม.ย. 2565 | 00:07 น.

ทุกวิกฤติที่เกิดขึ้น มีโอกาสให้นักลงทุนเสมอ เพราะไม่ใช่หุ้นทุกตัวจะอยู่ในวิกฤติและไม่สามารถลงทุนได้ ตรงกันข้ามจะมีหุ้นที่สามารถฝ่าฟันวิกฤติ ฟื้นตัว และเติบโตต่อไปได้ ดังนั้น ท่ามกลางวิกฤติ หน้าที่ของนักลงทุน คือ ทำการบ้าน วิเคราะห์ ใช้เครื่องมือและกลยุทธ์ลงทุนที่เหมาะสม เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ในทุกสถานการณ์

เมื่อสถานการณ์โลกไม่แน่นอนหรืออยู่ในภาวะสงคราม เป็นเรื่องปกติที่นักลงทุนจะกังวลว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างไร เพราะการลงทุนบางอย่าง เช่น หุ้น อาจมีความเสี่ยงมากขึ้นหากสถานการณ์ยืดเยื้อ อย่างไรก็ตาม หากเชื่อในประโยคที่ว่า “ทุกวิกฤติย่อมมีโอกาส” อาจสามารถสร้างผลตอบแทนจากสถานการณ์ดังกล่าวได้ หากวางกลยุทธ์ได้อย่างถูกต้อง

 

DCA ต่อเนื่อง

 

เมื่อนักลงทุนประเมินแล้วว่าหุ้นที่ต้องการลงทุนมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและมีโอกาสเติบโตในอนาคต ขณะเดียวกันสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนมีทีท่ายืดเยื้อ จึงเกิดความลังเลกับการลงทุนถึงแม้จะเห็นราคาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ หากเกิดอาการเช่นนี้วิธีที่ใช้รับมือ คือ ทยอยใส่เงินลงทุนในหุ้นเป้าหมายเป็นรายงวดด้วยจำนวนเงินเท่า ๆ กัน (DCA)

 

แนวคิดนี้ เมื่อลงทุนต่อเนื่องในระยะยาวจะทำให้ได้หุ้นในต้นทุนถัวเฉลี่ยที่ถูกลง และถึงแม้จะไม่ได้ซื้อหุ้นได้ในราคาที่ถูกที่สุด แต่ก็ได้ในราคาที่เหมาะสมโดยไม่ต้องเฝ้าติดตามราคาตลอดเวลา และเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ราคาหุ้นจะปรับขึ้นสู่มูลค่าที่แท้จริง ก็จะได้ผลตอบแทนที่น่าประทับใจ

ปรับสมดุลพอร์ตลงทุน

 

การปรับสมดุลของพอร์ตลงทุนให้สัดส่วนของสินทรัพย์ต่าง ๆ กลับมาอยู่ในเป้าหมายการลงทุนตั้งต้นที่วางไว้ ซึ่งจะช่วยป้องกันความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี แถมยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง ไม่เหวี่ยงจนหวั่นไหวอีกด้วย เช่น เมื่อปีที่ผ่านมาพอร์ตลงทุน ประกอบด้วย หุ้น 60% ตราสารหนี้ 40% แต่สัดส่วนตราสารหนี้เพิ่มสูงขึ้นในช่วงสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ก็ต้องทำการขายตราสารหนี้และซื้อหุ้นเพิ่มเพื่อให้พอร์ตลงทุนกลับมามีสัดส่วนเหมือนเดิม

 

รักษามุมมองการลงทุนระยะยาว

 

หากนักลงทุนกำลังลงทุนหุ้นหรือกองทุนรวมหุ้นในช่วงสถานการณ์โลกที่ไม่แน่นอนหรือช่วงภาวะสงคราม ไม่จำเป็นต้องขายหุ้นหรือกองทุนรวมทั้งหมดเพื่อถือเงินสด เพราะสถานการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นในระยะสั้น ถึงแม้ว่าราคาหุ้นหรือผลตอบแทนของกองทุนรวมหุ้นจะปรับลดลงก็ตาม แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องเปลี่ยนวิธีการลงทุน โดยเฉพาะผู้ที่มีเป้าหมายการลงทุนระยะยาวหรือผู้ที่เกษียณอายุ

 

นักลงทุนระยะสั้น ควรเตรียมเงินสด

 

หากมีสไตล์การลงทุนระยะสั้นและรู้สึกไม่สบายใจในช่วงสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ซึ่งส่งผลทำให้ตลาดหุ้นผันผวน อาจพยายามขายหุ้นหรือกองทุนรวมหุ้นเพื่อถือเงินสด กรณีนี้จะไม่เกิดขึ้นหากก่อนลงทุนได้วางแผนกันเงินสดเอาไว้ก่อน หมายความว่า นอกจากจะมีเงินสดเพื่อรอลงทุนในจังหวะที่เหมาะสมแล้ว หากหุ้นที่ถืออยู่มีราคาเพิ่มขึ้นหลังสถานการณ์คลี่คลายก็จะได้รับผลตอบแทนที่ดีด้วย

 

อย่ารับความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

 

หากต้องการเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในช่วงสถานการณ์ตึงเครียด ไม่ควรลงทุนมากกว่าที่เคยทำในช่วงปกติ หมายความว่า อย่าเพิ่มความเสี่ยงให้ตัวเองมากขึ้น เช่น พอร์ตลงทุน ประกอบด้วย หุ้น 60% ตราสารหนี้ 40% แต่เมื่อเห็นราคาหุ้นปรับลดลงจึงตัดสินใจเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นเป็น 80% ซึ่งตามหลักการลงทุนที่ดี ไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไรควรเดินตามแผนการลงทุนที่วางไว้ตั้งแต่ต้น

 

ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดของสงคราม ไม่มีใครสามารถทำนายได้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่หรือจะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้า เช่น ราคาหุ้นอาจปรับลดลงได้อีกในระยะเวลาหนึ่งเดือน จากนั้นจะดีดตัวขึ้นอีกครั้งในเดือนถัดไป และหลังจากนั้นก็จะลดลงอีกในหนึ่งเดือน เป็นต้น ดังนั้น เมื่อไม่สามารถคาดเดาได้ว่าตลาดหุ้นจะตอบสนองอย่างไร นักลงทุนต้องวางแผนกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์และเวลาที่เหมาะสม พร้อมติดตามข้อมูลข่าวสาร และปรับแผนการลงทุนได้ทันที เพื่อทำให้พอร์ตลงทุนประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมาย

 

โดย  :   ฐิติเมธ โภคชัย ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย