"สงกรานต์" ในความหมาย พุทธทาสภิกขุ

13 เม.ย. 2566 | 03:30 น.

สงกรานต์ ประเพณีไทยที่มีมาแต่โบราณ ในทางพุทธศาสนา ท่านพุทธทาสภิกขุ "สงกรานต์" ความหมาย ก้าวไปข้างหน้า เวลาก้าวไปข้างหน้าตามที่กำหนดไว้ว่าปีหนึ่ง

สงกรานต์ ประเพณีไทยยึดถือสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นวันที่ได้รับอิทธิพลมาจากเทศกาลโฮลีของประเทศอินเดีย มาจากภาษาสันสกฤต ที่มีความหมายว่า "เคลื่อนย้าย" เป็นช่วงเวลาการเคลื่อนย้ายของจักรราศี ในมุม พุทธทาสภิกขุ ท่านได้นิยาม สงกรานต์ไว้ว่า

คำว่าสงกรานต์ คำนี้ถ้าเป็นภาษาบาลีก็เป็น สังกันตะ แปลว่าก้าวล่วงไป แปลว่าก้าวไปพร้อม คือการก้าวหน้า คำว่าสงกรานต์แปลว่าก้าวหน้า ก็หมายความว่าก้าวไปข้างหน้า เวลาก้าวไปข้างหน้าตามที่กำหนดไว้ว่าปีหนึ่ง ดังนี้

คำว่าความก้าวหน้านี้ก็พอจะเข้าใจกันได้ ว่าอะไรๆ มันล่วงไปข้างหน้า แต่ว่ามันมีความสำคัญที่มันเกี่ยวกันกับมนุษย์อย่างไร นั่นแหละเป็นสิ่งที่ต้องศึกษาพินิจพิจารณากันให้เป็นอย่างดี เกี่ยวกับข้อนี้มีทางที่จะมองเห็นได้เป็น ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือ ความก้าวหน้าของเวลา อย่างที่สองก็คือ ความก้าวหน้าของบุคคล

ถ้ามันเป็นความก้าวหน้าของเวลา เวลาก็กินสัตว์ กินชีวิต แต่ถ้าว่าเป็นความก้าวหน้าของบุคคล บุคคลก็เป็นผู้กินเวลา กลับกันอยู่ดังนี้

ถ้าเวลาก้าวหน้า คนก็ถูกกิน นี้ก็พอจะเห็นได้ไม่ยากนัก ว่าวันคืนมันล่วงไปๆ คนมันก็แก่ชราลงๆๆ และใกล้ความตายเข้าไปทุกที จนถึงความตายในที่สุด นี้เรียกว่าเวลามันก้าวหน้า คนก็ถูกกิน

แต่ทีนี้ถ้าคนเกิดก้าวหน้าขึ้นมาบ้าง คือคนได้รู้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นหัวใจของพระศาสนาโดยแท้จริง คือเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขาที่จะยึดมั่นแล้ว เวลาก็ทำอะไรบุคคลนั้นไม่ได้ เพราะบุคคลนั้นพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อย่างนี้เรียกว่า บุคคลนั้นกินเวลา เวลาเป็นฝ่ายที่ถูกกิน

ทำบุญในวันสงกรานต์ ถ้าทำตามประเพณีอย่างหลับหูหลับตา มันก็ไม่มีความก้าวหน้า แต่ถ้าหากว่ามีความรู้สึกอย่างแท้จริง จนเป็นผู้ไม่ประมาทตามคำสั่งของพระพุทธเจ้าแล้ว มีความเศร้าสลดใจในความผิดพลาดที่แล้วมาแต่หนหลัง แล้วก็มีความตั้งใจที่จะทำเสียใหม่ให้ถูกต้องต่อไปข้างหน้า คิดบัญชีกันดูปีหนึ่งหนหนึ่ง ปีหนึ่งหนหนึ่งในระยะนี้ซึ่งเรียกว่าวันสงกรานต์ ก็จะเป็นการดี

คือจะเป็นสงกรานต์จริงๆ การที่จะไปเล่นสาดน้ำกัน เอาวัวเอาควายมาชนกัน มาเล่นการพนันกัน อย่างนี้เป็นต้นนั้น มันเป็นสงกรานต์ของคนโง่ อย่างดีที่สุดก็จะเป็นสงกรานต์ของเด็กอมมือหรือเด็กเล็กๆที่ยังไม่รู้อะไร มากไปกว่าที่จะหวังว่า เมื่อไรจะสงกรานต์ เมื่อนั้นจะได้ดูควายชนกัน วัวชนกัน ดูการเล่นสาดน้ำกัน อย่างนี้เป็นต้น นี่สงกรานต์ของเด็กอมมือ

เราก็คง คงจะเคยเป็นอย่างนี้มาแล้วด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้นสงกรานต์มันควรจะเลื่อนไปๆๆตามลำดับ จนมาเป็นสงกรานต์ที่น่าดู เป็นสงกรานต์ของพุทธบริษัทในพระพุทธศาสนา ทั้งหมดตามที่กล่าวมานี้คือความก้าวหน้าที่เป็นสงกรานต์อันแท้จริงของแต่ละคนๆในโลกนี้ เกี่ยวกับความก้าวหน้า

ความก้าวหน้าอย่างสมัยใหม่ที่เขาเรียกกันว่าความก้าวหน้านี่แหละ จะนำโลกนี้ไปสู่ความยุ่งยาก สับสน ซับซ้อน ลึกลับยิ่งขึ้นทุกที ยิ่งเจริญหรูหราทางวัตถุมากเข้าเท่าไร ก็ยิ่งมีความยุ่งยากลำบากซับซ้อน คับแคบในทางจิตใจมากขึ้นเท่านั้น

มีคนเข้าใจผิดว่า พุทธบริษัทมีความก้าวหน้าทางจิตใจ แต่ไม่มีความก้าวหน้าทางวัตถุ นี้มันเป็นการพูดกันไม่รู้เรื่อง

สำหรับความก้าวหน้าทางวัตถุของพุทธบริษัทนั้น เขาไม่ได้ตะกละตะกลาม ไม่ละโมบโลภลาภ เหมือนคนทาง ที่ก้าวหน้าทางวัตถุเขามุ่งหมายกัน เพราะเขาถือว่าวัตถุนั้นเป็นเพียงอุปกรณ์สำหรับให้ชีวิตตั้งอยู่ได้ เพื่อมีความก้าวหน้าทางจิตใจต่อไป วัตถุที่มุ่งหมายนั้นคือความสูงของจิตใจ เมื่อได้ความสูงของจิตใจแล้ว ก็เรียกว่าได้ทั้งหมด

เรื่องทางวัตถุนั้นเป็นเรื่องอุปกรณ์เล็กๆน้อยๆสำหรับร่างกายเป็นอยู่พอสะดวกสบาย สำหรับมีจิตใจที่มีสมรรถภาพ เมื่อจิตใจมีสมรรถภาพ ทำหน้าที่ของจิตใจได้ดี ได้รับผลทางจิตใจแล้ว มันก็เป็นเรื่องสิ้นสุดกัน

นี่แหละถ้าว่าคนนิยมความก้าวหน้าในทางจิตใจแล้ว โลกนี้ก็จะมีอะไรๆให้อย่างเหลือเฟือ แต่ถ้าว่าคนไปนิยมความก้าวหน้าทางวัตถุแล้ว โลกนี้ก็ไม่มีอะไรให้ที่เพียงพอ จะต้องหวั่นวิตกกังวลว่าอะไรๆก็จะต้องขาดแคลน และกำลังขาดแคลนลงอยู่เสมอไป เพราะเอาไปใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายในทางบำรุงบำเรอเกินกว่าที่จำเป็น ไม่ได้ใช้ไปอย่างที่จำเป็น

ไปพิจารณาดูเองเถิดว่า ในการเป็นอยู่ในบ้าน ในเรือน ในรถ ในเรือ ในอะไรก็ตามนั้น มันเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นเสียแทบทั้งนั้น ยิ่งสมัยนี้แล้วเป็นเรื่องเล่นหัวไปมากกว่า การใช้จ่ายในบ้านเรือนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นมากมายที่สุด แต่ว่าเมื่อไปถือกันเสียว่าเป็นมาตรฐานของการอยู่ดีกินดีอย่างนั้นอย่างนี้เสียแล้ว มันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ในที่สุดผลมันก็คือ ไม่พอๆๆ อยู่ร่ำไปนั่นเอง นั่นแหละคือผลของความก้าวหน้าในทางวัตถุ หรือว่าจิตใจที่มัวเมาหลงใหลในการก้าวหน้าทางวัตถุ

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่าเขาเข้าใจผิดในเรื่องการทำความสงบสุข เข้าใจความความสุขผิดอย่างตรงกันข้าม เขาต้องการความสุขที่ร้อน ไม่ต้องการความสุขที่เย็น เพราะว่าความสุขที่ร้อนนั้นเอร็ดอร่อย ยั่วยวนกว่าความสุขที่เย็น ความสุขที่เย็นนี้เข้าใจยาก ชิมได้ยาก พอใจได้ยาก เพราะมันเย็น

ความสุขร้อนนั้นมันเป็นสิ่งที่ยั่วยวนไปทุกสิ่งทุกอย่าง ความสุขร้อนคือเรื่องทางวัตถุ หรือเรื่องทางโลกๆ ทางรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ไปเกี่ยวข้องเข้าก็รู้สึกว่ามีรสชาติดี พอเรียกกันว่าเป็นความสุข แต่มันเป็นสุกร้อน สุกที่สะกดด้วยตัว ก. สุกร้อน มันเผาให้ร้อนและมันเผาให้สุก คนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับมันเลยกลายเป็นคนสุก คือถูกเผาให้สุก ส่วนความสุขเย็นเป็นความสุขทางจิตใจ หรือทางนามธรรมนั้น ไม่ร้อน ไม่เผา ใครมีอย่างถูกต้องแล้วก็เย็น

ความสุขมีอยู่เป็น ๒ ชนิด คือสุกร้อนที่เผาคนให้สุก และสุขเย็นที่ทำคนให้เย็น

พิจารณาดูกันง่ายๆว่า ทุกวันนี้ก็มีความเข้าใจผิดกันอยู่ในระหว่างเรื่อง ๒ เรื่อง คือ เรื่องกินดีอยู่ดี กับ เรื่องกินอยู่พอดี พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องกินอยู่พอดี กำชับให้ทุกคนกินอยู่พอดี แต่คนสมัยนี้ต้องการกินดีอยู่ดี เพราะว่ากินดีอยู่ดีนี้มันได้เปรียบ มันกำกวม มันจะกินดีอยู่ดีสักเท่าไรก็ได้ ขยายออกไปให้มากมายสักเท่าไรก็ได้ ยังเรียกว่ากินดีอยู่ดีอยู่นั่นเอง ขยายออกไปจนเหนือวิสัย เหนือความสามารถ เหนืออะไรของตัว มันก็ยังเรียกได้ว่าถูกต้องอยู่นั่นเอง คือเพื่อจะกินดีอยู่ดี

ฉะนั้นคนจนๆ จึงทะเยอทะยานที่จะทำอะไรอย่างคนมั่งมี คนมีรายได้น้อยก็จะทำอย่างคนมีรายได้มาก สิ่งที่เรียกว่าคอรัปชั่นจึงเกิดขึ้นทั่วไปในที่ทุกหัวระแหง ในวงราชการก็ดี ในวงชาวบ้านก็ดี ที่ไหนก็ดีล้วนแต่มีคอรัปชั่น คือวิธีขโมยเอาของผู้อื่นมาเป็นของตนอย่างเลือดเย็น อย่างซึ่งหน้า สิ่งเหล่านี้เต็มไปหมด ก็เพราะว่าแต่ละคนๆต้องการอยู่ดีกินดีที่ไม่มีขอบเขต ไม่มีความหมายอันจำกัด

พระพุทธเจ้าท่านไม่สอนอย่างนี้ ท่านสอนว่า มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสมิง กินอยู่พอดี คำว่าพอดีนี้ คือเท่าที่มันจะเป็นอยู่ได้ สำหรับร่างกายนี้จะตั้งอยู่ได้ เป็นของรองรับจิตใจให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าไป กินอยู่อย่างนักบวชในพระพุทธศาสนา อย่างที่นี่ ที่นี่เรียกว่ากินข้าวจานแมว ก็เรียกว่าเป็นการกินอยู่ที่พอดีอย่างยิ่ง เพราะพอดีสำหรับการที่จะมีชีวิตอยู่อย่างง่ายๆ อย่างสะดวกสบาย อย่างที่ไม่ตกเป็นทาสของกิเลสของวัตถุ จึงมีสงกรานต์คือความเจริญก้าวหน้าในทางจิตใจ

ถึงแม้คนจะอยู่ที่บ้านที่เรือน ถ้าจะถือหลักกินอยู่แต่พอดีแล้ว ก็จะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แล้วก็จะเป็นการก้าวหน้าอย่างยิ่งด้วยในทางจิตใจ ถึงวันสงกรานต์ก็เป็นสงกรานต์จริง คือปีนี้มันดีกว่าปีที่แล้วมา และปีหน้ามันก็จะต้องดีกว่าปีนี้อีกโดยไม่ต้องสงสัย

ข้อมูลอ้างอิง : พุทธทาสภิกขุ