มกุฎพันธนเจดีย์ กับพระบารมีปรีชาสยบคดีแย่งธาตุ

15 เม.ย. 2566 | 00:30 น.

มกุฎพันธนเจดีย์ กับพระบารมีปรีชาสยบคดีแย่งธาตุ คอลัมน์ Cat out of the box โดย พีรภัทร์ เกียรติภิญโญ

พระธาตุ ในความรับรู้ของผู้คนทั่วไปคือกระดูกของคนซึ่งกลายเปนเพชรแก้ว 
 
คนแบบไหนที่มีกระดูกเปนเพชรแก้ว? ก็ต้องเรียนตอบว่า กระดูกคนตายคนตายที่ผ่านการเผาไฟ เมื่อพระอัคนีชำระร่างแล้ว เหลือกระดูก (เรียกอัฐิ) เหลือเถ้า (เรียกอังคาร) กระดูกนั้นแปลงธาตุลงเปนแก้วใสอย่างเพชร
 
หากพิจารณาข้อมูลปฐม /ทุติยะ/ตติยะ ก็จะพบว่า พระธาตุนี้ ฝรั่งเรียก relics ยังมีความหมายทางลึกลงไปอีก เช่น มีสัณฐานอย่างอื่นไม่ใช่แก้วใสก็มี เช่น ขุ่นมัวอย่างหิน ไม่ต้องผ่านไฟแต่เกิดเปนแก้วใสก็มี เช่น เลือด เปนต้น ไม่เปนส่วนร่างกายคนก็ได้เปนแต่ข้าวของที่คนสำคัญทางศาสนาได้ใช้ได้สัมผัสก็มี

แต่ทั้งหมดทั้งปวงต้องเกิดแต่คนที่มีความสะอาดใสทางจิต บรรลุคุณธรรมขั้นสูง ขัดเกลากิเลสหยาบโสมมได้เกลี้ยงแล้ว เท่านั้น
 
ฝ่ายพระพุทธศาสนา ชาวประชาศาสนิกนับถือพระธาตุยิ่งนัก ไม่ว่าจะเปนพระบรมสารีริกธาตุ_ธาตุจากพระบรมศาสดาโดยตรง หรือ พระอรหันตธาตุ_ธาตุจากพระอรหันต์ที่สำเร็จหน้าที่ทางธรรมหมดภาระหน้าที่ทางโลกย์ ด้วยการปฏิบัติตามพระสัทธรรมที่พระศาสดานำทาง แล้วประสบผลสำเร็จอย่างที่ท่านกรุณาสอนสั่ง
 
ทำไม_? ก็ขนาดกระดูกพ่อ_แม่แต่โบราณยังเก็บใส่โกศไว้ ถึงเวลาสงกรานต์มือไม่อยู่ก็ขอรดกระดูกแทน
แล้วนี่กระดูกพระอรหันต์ที่สำแดงคุณวิเศษแปลงสภาพจนงามผ่องใสได้ขนาดนั้น ทำไม_จะไม่? (Why not?)


 

บางพวกปากมากไม่ยอมศึกษาเอง ชอบแกว่งปากถามว่า กระดูกคนจะกลายเปนเพชรยังไงได้ พื้นๆก็ต้องว่ากระดูกคนเปนสารประกอบคาร์บอน

เพชรก็เปนสารประกอบคาร์บอน ขามาเปนกระดูก ขากลับเปนเพชร ทำไมมันจะไม่ได้ ชั่วแต่ทั่วไปใช้เวลาหมื่นแสนปี กว่ากระดูกทับถมจะแปลงเปนเพชร บุคคลพิเศษเหล่านี้ท่านเเค่มีเทคโนโลยีบางอย่างที่พวกข้างต้นตั้งคำถามไม่มีในการย่นระยะเวลาเท่านั้น
 
ในทางคติชนวิทยา คนนับถือพระธาตุกันโดยสองนัยยะ หนึ่งเปนของวิเศษ มีพลังวิเศษ เปนของสะอาด สะสมพลังจากผู้เปนเจ้าของ สองเปนหลักฐานแสดงพระสัทธรรม ว่าธรรมนั้นมีอยู่จริง ปฏิบัติตามแล้วหลุดพ้นได้จริง และหลักฐานเเห่งการหลุดพ้น คือพระธาตุ คือกระดูกของผู้ที่สำเร็จผลธรรม

การสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ_พระอรหันตธาตุนั้นได้กุศลก็เพราะ...เพราะเปนที่บรรจุหลักฐานของความสำเร็จของคุณภาพและประสิทธิภาพของพระสัมธรรมที่พระบรมศาสดาได้ประกาศ 
 
การสร้างเครื่องบูชาพระบรมสารีริกธาตุ_พระอรหันตธาตุนั้นได้กุศลเพราะ...เพราะศิลปะที่ศิลปินอุทิศสร้างสรรค์ไว้ให้นั้นงามงด ใครๆก็มาชื่นชมความงาม ชมแล้วก็ฉงนว่าศิลปินลงแรงทำไว้ทำไม เมื่อสนใจใคร่รู้ก็จะศึกษา แล้วจึงทราบเหตุผลตามย่อหน้าก่อนหน้า
 
การนำสร้อยทอง เพชรลูก พลอยเลี่ยม ถวายพระบรมสารีริกธาตุ_พระอรหันตธาตุนั้นได้กุศลเพราะ...เพราะได้สร้างปริศนาธรรมให้ชนผู้ยังติดข้อง เข้าใจว่า ไอ้ประดาของที่นับว่ามีค่าแก่ตนนั้น เมื่อเจอพระศาสนาเข้าแล้ว ไร้ค่าไปเลย พระธรรมคำสอนมีค่ากว่ามากนั้น ไอ้ประดาของที่ว่าแพง ที่ว่ามีค่า เอาติดตัวไปข้ามภพก็ไม่ได้ ชั่วแต่จบเห่กันชาตินี้ ทว่าการปฏิบัติตามคำสอนเมื่อถึงขั้นหนึ่งก็เปนสัญญาติดตัวต่อตามไปชาติโน้นๆได้
 
การพึ่งบารมีพระธาตุ พระบรมสารีริกธาตุนั้น เปนสิ่งที่ทำมาแต่นานโข ก็ไม่ได้มีอะไรยืนยันว่าท่านช่วยให้สมหวังได้อย่างงั้นอย่างงู้น แต่ในทางสารัตถะแล้ว ก็ต้องไปอ่านบท “สักกัตตวา” ที่ว่าพระรัตนตรัย เปนโอสถัง คือเปนยารักษาทุกข์_ภัย_โรค ได้ชะงัดนั้น เขาไม่ได้หมายถึงเที่ยวบินระยะสั้น short haul ภพนี้เท่านั้นซะเมื่อไหร่เขาหมายถึงเที่ยวบินระยะไกล long haul ต่างหาก ถ้าแลนดิ้ง บินลงโดยข้ามฝั่งโอฆะสงสารได้ก็เท่ากับหมดทุกข์ หมดโศก หมดโรค หมดภัย เพราะไม่มีการเกิดวนว่ายอีก


 
ที่ได้สำเร็จผลนั่นนี้ย่อมมาแต่ตัวพระธาตุนั้นแผ่พลังบารมีเปนกัมมันตภาพบริสุทธิออกมาเหมือนอย่างกัมมันตรังสีเคมีวัตถุ เคลือบส่องผู้เข้าใจ มีผลให้ใจสงบ จิตสบาย มีกำลังมุ่งมั่นทำการทำงานจริงจังต่อไป_ตรงนี้เปนวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณ เหมือนกินคอมฟอร์ตฟู้ดแล้วดี มีแรงลุยทำงาน ดีต่อใจอะไรพรรค์นั้นครือๆกัน (ในที่นี้จะยกเรื่องเทวดา เทวดลผู้ที่เขาเฝ้าชมเฝ้าแหนพระธาตุ โมทนากุศลของคนแล้วช่วยดลให้ได้ผลต่างๆ ไว้ไม่ได้กล่าวถึง)
 
อีกส่วนหนึ่งการมีพระธาตุ พระบรมสารีริกธาตุไว้ในแว่นแคว้น นั้นเปนสง่า ราศีแก่เมือง เหมือนเปนของสำแดงบารมีของพุทธศาสนิกที่ดำรงตำแหน่งเจ้าแว่นแคว้นเมือง ทำเจดีย์บรรจุไว้ประกาศความเกรียงไกรได้อีกโสตหนึ่งด้วย

อีทีนี้แล้วท่ีภัทระกัปของเรา พระธาตุ_ครั้งเเรกเกิดขึ้นที่ไหน ?
 
เมื่อเกือบสิบปีก่อนคราวเปนภิกษุสกุลโพธิ อยู่ที่อุตตรประเทศ เมืองอินเดีย ได้จาริกไปยังเมืองกุสินารา ค่ำแล้วถึงยังมกุฎพันธนะเจดีย สถานที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


 
รุ่งเช้าได้ออกมานมัสการ พบว่า ด้านหน้ามีวิหารพระแท่นเดิมเปนที่ประดิษฐาน พักวางพระบรมศพองค์พระชินสีห์ ปัจจุบันนั้นสร้างพระพุทธรูปทองปางสีหไสยยาสน์เข้าปรินิพพานสมมติเอาไว้
 
เหตุการณ์ในครานั้นมีรายละเอียดมาก จึงตัดตอนมาถึงเมื่อมีการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ  เพราะท่านผู้สนใจสามารถศึกษาเอาต่อได้เอง เขาเรียกวันนั้นกันว่า “อัฐมีบูชา” 8 ค่ำ เดือน 6 อันว่าเพชรเปล่งแสงวาวมีค่าต่อชนหมู่อื่นอย่างไร_พระบรมสารีริกธาตุมีค่าต่อศาสนิกอย่างน้อยเพียงนั้น
 
กษัตริย์มัลละ ผู้เปนเจ้าภาพตั้งการอารักขาพระบรมสารีริกธาตุโดยจัดทำสัตติบัญชร (ซี่กรงทำด้วยหอก) เพื่อป้องกันภัย ใครล้วงมือเข้ามาจะได้โดนบาดซะให้เข็ด แล้วให้ขึงเพดานผ้าไว้เบื้องบน ห้อยพวงของหอม พวงมาลัย พวงแก้วให้ล้อมม่านและเสื่อลำแพนไว้ทั้งสองข้างตั้งแต่มกุฎพันธนเจดีย์จนถึงศาลาด้านล่าง ให้ติดเพดานไว้เบื้องบน

ตลอดทางติดธง 4 สีโดยรอบ ให้ตั้งต้นกล้วย และหม้อน้ำพร้อมกับตามประทีปมีด้ามไว้ตามถนนทุกสายพวกเจ้ามัลลกษัตริย์นำพระบรมสารีริกธาตุทั้งหลายวางลงในรางทองแล้วอัญเชิญไว้บนคอช้าง นำพระบรมสารีริกธาตุเข้าพระนครประดิษฐานไว้บนบัลลังก์ที่ทำด้วยรัตนะ ๗ อย่าง กั้นเศวตรฉัตรไว้เบื้องบน แล้วจัดกองกำลังอารักขา
 
จากนั้นจัดเหล่าช้างเรียงลำดับกระพองต่อกันล้อมไว้พันจากเหล่าช้างก็เป็นเหล่าม้าเรียงลำดับคอต่อกันจากนั้นเป็นเหล่ารถ เหล่าราบ รอบนอกสุดเป็นทหารธนูล้อมอยู่
 
จุกช่องล้อมพระธาตุกันเสียอย่างแน่นหนา ด้วยสังหรณ์ว่าจะเกิดสงครามแย่งพระบรมสารีริกธาตุกันเปนแน่ และก็จริงตามนั้น
 
ระหว่างเจ้าแว่นแคว้นกษัตริย์ถึง 8 วงศ์ เพราะพระเจ้าอชาตสัตตุราช นครราชคฤห์ พระเจ้าลิจฉวี นครไพศาลี พระเจ้ามหานาม กบิลพัสดุ์นคร พระเจ้าธุลิยราช อัลลกัปปนคร พระเจ้าโกลิยราช เรามคาม พระเจ้ามัลลราช ปาวานคร และมหาพราหมณ์ ผู้ครองเมืองเวฎฐทีปกนคร ล้วนมีความเลื่อมใสและความเคารพนบมั่นใน
 
พระพุทธศาสนา ครั้นได้ทราบข่าวปรินิพพานของพระบรมศาสดา มีความเศร้าโศกอาลัย ได้แต่งราชทูตส่งไปขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ณ เมืองกุสินาราเพื่อจะได้สร้างพระสถูปบรรจุไว้เป็นที่สักการบูชา เป็นสิริมงคลแก่พระนครของแต่ละพระองค์สืบไป
 
ตานี้จะส่งไปแต่ราชทูตลิ้นทองก็ยังเกรงไปว่ากษัตริย์กุสินาราจะขัดขืนไม่ยอมดังปรารถนา จึงให้จัดโยธาแสนยากรเป็นกองทัพ พร้อมด้วยจาตุรงค์โยธาเสนาหาญครบถ้วนด้วยศัตราวุธเต็มกระบวนศึก เดินทัพติดตามราชทูตไปด้วยกะหากว่าขัดขืน ไม่ยอมให้ด้วยไมตรี ก็จะยกพลเข้าหักบีบบังคับ เอาพระบรมธาตุด้วยกำลัง
 
ข้างราชทูตลิ้นตายด้าน แจ้งผลว่า มัลลกษัตริย์กุสินาราไม่ยอมให้พระบรมสารีริกธาตุของพระบรมศาสดา ประดาเจ้าทั้งเจ็ด ต่างก็ยกทัพเข้าประชิดกำแพงพระนคร รวม ๗ ทัพ ร้องประกาศเข้าไปในเมืองว่า ให้มัลลกษัตริย์เร่งปันส่วนพระบรมสารีริกธาตุให้โดยดี แม้มิให้ก็จงออกมาชิงชัยยุทธนาการกันฝ่ายวงศ์มัลละให้ทหารบนเชิงเทินร้องตอบไปว่า
 
“พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาปรินิพพานในพระนครของเรา(โว้ย) ความจริง เราก็มิได้ไปทูลอัญเชิญให้เสด็จ และเราก็มิได้ส่งข่าวสารไปเชิญทูลเสด็จพระองค์เสด็จมาเอง” ปากชวนทะเลาะแท้
 
“แม้เพียงดวงแก้วอันมีค่าเกิดในเขตแคว้นแดนเมืองของท่าน ท่านก็มิได้ให้แก่เรา ก็แล้วแก้วอันใดเล่าจะประเสริฐเสมอด้วยแก้ว คือ พระพุทธรัตนะ และก็เมื่อเราได้ซึ่งปฐมอุตมรัตนะเช่นนี้แล้ว ที่จะให้แก่ท่านทั้งปวงอย่าพึงหวังเลย” ดับฝันกันดื้อๆ จากนั้นจึงขู่ฟ่อๆต่อว่า
 
“(นี่โว้ย) (คนเรา) ใช่ว่าจะดื่มน้ำนมมารดา แล้ว(จะ)เป็นบุรุษแต่เฉพาะท่านทั้งหลาย เราก็ดื่มน้ำนมมารดา เป็นบุรุษเหมือนกัน จะขยาด
เกรงกลัวท่านเมื่อไรมี” นี่!
 
กษัตริย์ทั้งสองฝ่ายต่างทำอหังการแก่กันและกันด้วยขัตติยมานะ คุกคามทำทายด้วยถ้อยคำมืประการต่างๆ ใกล้จะทำสงครามสัมประหารซึ่งกันกันอยู่รอมมะร่อ

(ต่อตอน2)

นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 หน้า 18  ฉบับที่ 3,879 วันที่ 16 - 19 เมษายน พ.ศ. 2566