ใครเป็นใครใน 8 เซียน

14 ม.ค. 2566 | 01:00 น.

คอลัมน์ Cat out of the box โดย พีรภัทร์ เกียรติภิญโญ

คราวนี้ท่านผู้อ่านทักถามมาว่าประดารูปเคารพตุ๊กตาอย่างว่าเครื่องกังไสหรือเครื่องกระเบื้อง ที่ทำเปนรูปผู้วิเศษหรือเซียนทั้ง 8 นั้น ดูอย่างไรว่าแต่ละท่านคือใครกันบ้างและก็อะไรอย่างไง
 
ก็เปนอันสมควรได้เวลานำเสนอช่วยท่านแยกแยะ ว่าใครเปนใครในแปดเซียนโดยใช้เทคนิคดูจากสัญลักษณ์เชิงของวิเศษประจำตัวของเซียน(ผู้สำเร็จ) แต่ละท่าน ซึ่งฝรั่งเรียกกันว่า The Eight Immortals ซึ่งอาจแปลว่า ผู้อมตะทั้งแปดก็ได้ คือคงหมายความว่าท่านทั้งแปดสำเร็จคุณธรรมบางอย่างทำให้ไม่ตายสูญตายเกิดคงความอมตะภาวะท่องจักรวาฬอยู่
 
งานศิลปะที่ศิลปินจีนสร้างไว้มีหลายยุค ทำจากงาแกะก็มีกระเบื้องก็มีดินดิบดินเผาไม้แกะภาพวาด ที่สวยๆงามๆสถาบันประมูลอย่างคริสตี้ส์ นำออกตลาดมีคุณค่าและมูลค่าความนิยมนับถือหลายสตางค์หลักล้านๆก็มาก ขอบคุณภาพสวยมา ณ ที่นี้ สำหรับบทความส่วนนี้ก็จะขออนุญาตนำเสนอ 4 ท่านจาก 8 ท่านก่อน

เริ่มที่ท่านผู้ถือกระบี่
 
เซียนที่ถือกระบี่นี้คือลื่อตงปิน หรือลื่อ โจ้ว เกิดสมัยราชวงศ์ถัง เปนคนตัวใหญ่สูงแปดฟุตกับสองนิ้ว ความจำดี เฉลียวฉลาด แต่สอบจิ้นชื่อ (คุณวุฒิทำนองบัณฑิตสอบภาคสนาม ก. ข.) จะเปนจอหงวนกลับสอบตกถึง 2 ครั้ง 
 
ในวัย 64 ลื่อโจ้วท่องเที่ยวพเนจร ได้พบเซียนรุ่นพี่ชื่อท่านฮั่นเจงหลี สนทนาธรรมกันถูกอัธยาศัย ลื่อโจ๊วถอนใจว่าชีวิตช่างอาภัพ สอบจิ้นชื่อไม่ได้สักครั้ง ฮั่นจงหลีจึงให้หมอนใบหนึ่งไปนอนหนุน กล่าวว่าจะทำให้สมหวัง
 
ท่านลื่อยามนั้นหนุนหมอนหลับไป ฝันเห็นชีวิตขึ้นๆ ลงๆเปลี่ยนแปลงมากมาย ในฝันนั้นสอบได้จิ้นซื่อ เปนนายอำเภอเลื่อนตำแหน่งหลายครั้ง ได้เปนแม่ทัพ มีอำนาจวาสนามั่งมีศรีสุข จนได้รับโปรดเกล้าฯเลื่อนเปนถึงที่อัครมหาเสนาบดี ทว่าต่อมาถูกปลดจากตำแหน่ง ตกระกำลำบาก

ตื่นมาแล้วเซียนฮั่นจงหลีรำเพยว่า ‘ชีวิตหนอ แม้ประสบสุขก็ไม่น่ายินดี ถึงประสบทุกข์ก็ไม่น่าเสียใจ’
 
ท่านลื่อได้ฟังจึงปลงตก ละกิเลส ปวารณาเปนศิษย์ตามรุ่นพี่ไปบำเพ็ญเพียรที่เขานกกระเรียนจนสำเร็จ immortality กลายเปนเซียน
 
ประดานักปราชญ์นักพรตของจีนเก่าระบุว่าท่านเปนบุคคลาธิษฐาน(personaltification)ของความเด็ดเดี่ยว มีกระบี่ติดตัวคือใช้ฟาดฟันอุปสรรค เปนเดชอำนาจ ปราบความขุกเข็ญ และเรียกโภคทรัพย์เนืองนอง
 
ทีนี้จะกล่าวถึงว่าอันเหตุที่ท่านหงุดหงิดเรื่องการสอบจินซื่อไม่ได้จนต้องมานั่งนอนคิดมากนั้น ก็ด้วยว่าท่านกำเนิดมาเปนถึงบุตรของเจ้าเมืองไฮจิ๋ว มีบิดาเปนขุนนางผู้ใหญ่มาก่อน แต่ตนเองกลับสอบไม่ผ่าน ทำให้กังวลว่าอาจไม่กตัญญูตามคติจีนโบราณ
 
แต่แท้แล้วในอดีตชาติก่อนนั้นท่านเปนอาจารย์ชื่อ ตังหัวจินหยินที่กลับชาติมาเกิด มีผู้ซึ่งบุพกรรมผูกพันกันได้รื้อสัญญาความจำเก่าและสอนการบำเพ็ญธรรมสืบวิชาใช้ไฟธาตุหลอมสิ่งของต่างๆ กลายเป็นทองให้ในชาติที่เปนลื่อตงปินนี้
 
ท่านได้รับกระบี่วิเศษจากเซียนฮั่นเจ็งหลีฝากไว้ให้ ได้ออกช่วยเหลือประชาชนปราบมังกรยักษ์ด้วยกระบี่วิเศษที่ว่า
 
ตำนานว่าบางคราวท่านปลอมตัวเปนคนหาบน้ำมันขาย แล้วลอบลองใจคน ผู้ใดที่ซื้อน้ำมันแล้วไม่ขอแถมก็จะอุปถัมภ์ ปรากฎว่ามีหญิงชรามาขอซื้อน้ำมันแล้วไม่ขอแถม อีกทั้งยังเอื้อเฟื้อให้ข้าวปลาอาหารแก่ท่านโดยสำคัญว่าลำเค็ญต้องหาบของขาย ท่านจึงเอาข้าวสุกโปรยลงในบ่อน้ำและเสกให้เปนสุราอย่างดีเพื่อหญิงชราและลูกชายตักขายได้จนร่ำรวย
 
วันหนึ่งลื่อทงปินท่านไปกินอาหารร้านนางชินสี และไม่ได้จ่ายเงินอยู่ 4 วัน (ลองใจคนอีก) นางชินสีก็มิได้ดูเบา คงเสิร์ฟอาหารตามปกติและไม่ทวงถามหนี้เก่า ลื่อทงปินจึงเอาเปลือกส้มมาเสก เปนนกกระเรียนติดไว้กับผนังร้านเพื่อให้นางชินสีเรียกนกกระเรียนมาเต้นรำให้ผู้กินอาหารดู ทำให้มีผู้มากินอาหารดูนกกระเรียนเต้นรำบันเทิงมากมายจนนางชินสีร่ำรวยขึ้นมากกว่าเก่า


 
อยู่มาวันหนึ่งท่านฮั่นเจงหลีเซียนรุ่นพี่ ชวนไปบำเพ็ญตบะกันต่อที่ภูเขาเฮาะฮง ท่านรับคำแล้วเดินทางแวะไปหาหญิงชราและลูกชายที่เคยเสกน้ำในบ่อให้เปนสุรา ลูกชายหญิงชราพูดจายโสไม่ให้ความเคารพคงเพราะรวยแล้วหนึ่ง ดูเบาผู้มีลักษณะไม่ภูมิฐานอีกหนึ่ง ลื่อทงปินจึงเรียกเอาเมล็ดข้าวเสกขึ้นมาจากบ่อน้ำ ทำให้สุราในบ่อจึงกลายกลับเปนน้ำปกติตามเดิม กิจการสุรามีอันต้องล้มพับไป
 
จากนั้นได้แวะไปหานางซินสี นางได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ลื่อทงปินได้ขอนกกระเรียนจากผนังร้านคืนและบอกนางชินสีว่า ถ้าอยากร่ำรวยก็ให้จุดธูปบูชาถึงตน จากนั้นก็ขี่นกกระเรียนขึ้นฟ้าไปเปนเซียนซึ่งตำราระบุว่าเปนเซียนหมายเลข 3 จาก 8

 ต่อมาก็ชวนท่านดูหาท่านที่ถือป้ายคู่อาญาสิทธิ์ ชื่อนี้จะชื่อ เช่าก๊กกู๋
 
ท่านเช่าก๊กกู๋เป็นพระราชนิกูลน้องชายของฮองไทเฮาแห่งราชวงศ์ซ่ง กำเนิดวัน 15 ค่ำ เดือน 7 เป็นคนเที่ยงตรง มีเมตตาและรักสงบ ท่านอนาถใจเห็นญาติผู้ใหญ่ใช้สิทธิเกินส่วนอ้างความเปนราชนิกูลข่มเหงผู้คนแสวงประโยชน์เข้าตัว
 
จึงขึ้นเขาบำเพ็ญเพียร คอยช่วยผู้ตกทุกข์ ได้พบเซียนฮั่นเจงหลีและท่านลื่อตงปิน ท่านลื่อตงปินถามว่าทำความเพียรเพื่อประโยชน์ใด?
 
เช่าก๊กกู๋ตอบว่า ก็ต้องการญาณตบะวิเศษ
 
ลื่อตงปินถามต่อ ธรรมที่ท่านบำเพ็ญอยู่ที่ใด?
 
เช่าก๊กกู๋ขี้นิ้วขึ้นฟ้า
 
ลื่อตงปินถามว่า ฟ้าอยู่ที่ใด?
 
เช่าก๊กกู๋ชี้ที่หัวใจ
 
ฮั่นเจงหลีจึงว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ใจคือ ตบะ ตบะคือใจ บัดนี้ท่านค้นพบแล้ว จากนั้นเซียนรุ่นพี่ทั้งสองจึงถ่ายทอดมรรควิธีให้กระทั่งเช่าก๊กกู้สำเร็จเปนเซียน immortal
 
ป้ายคู่นี้เปนอาญาสิทธิ์ เข้าเฝ้าฮ่องเต้เมื่อไรก็ได้ ทั้งยังปรบเข้าด้วยกันเปนเสียงกัมปนาทกึกก้อง
 
ท่านเปนบุคคลาธิษฐานของผู้มั่งคั่งสละทรัพย์แสวงวิเวก อนึ่งตำราว่าภูตผีปีศาจจะแพ้พ่ายละอายตนเมื่อพบเจอท่าน ก็แน่ล่ะขนาดกำเนิดท่านมาสูงส่งจะทำไรก็ไม่มีใครว่า ท่านยังมีหิริโอตัปปะอับอายในการกระทำไม่ดีของหมู่เหล่า ผีทั้งหลายจะมาทำซ่าหลอกหลอนผู้คน มาเจอทองคำแท้อย่างท่านก็ต้องอึ้งละอายกันบ้าง

 ถัดมาท่านที่ถือดอกบัว คือท่านฮ่อเชียงจื่อ
 
ท่านฮ่อเซียงจื่อกำเนิดในสมัยราชวงศ์ถัง เปนสตรีอ่อนโยน รักสงบ ใจบุญและฉลาด วันหนึ่งได้กินผลท้อที่ท่านลื่อตงปินให้แล้วไม่หิวอีกเลย จึงมีกำลังบำเพ็ญเพียร นับเปนต้นทางสู่วิถีเซียน_immortal


 
ท่านมีสมาบัติพิเศษสามารถทำนาย โชคชะตาผู้คนได้แม่นยำนัก

วันหนึ่งเซียนรุ่นพี่ชื่อท่านทิก้วยลี้กับท่านหลันไฉ่เหอมาแนะนำวิธีปฏิบัติสมาธิบำเพ็ญเพียร ตลอดจนเวทมนตร์คาถาต่างๆ จากนั้นมานางก็ขึ้นเขาลงเขาไปกลับรวดเร็วแบบเซียนพี่ และด้วยความกตัญญูจะคอยเก็บผลไม้บนเขามาฝากมารดาทุกครั้ง ท่านสำเร็จได้ญาณเซียนเมื่ออายุ 14 คอยช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากด้วยมนต์และคำพยากรณ์เสียงกล่าวขานถึงความเป็นผู้วิเศษร่ำลือไปถึงในวังหลวง พระนางบูเช็กเทียนส่งคนไปเชิญมาเฝ้าหมายจะให้ท่านดูดวงให้ แต่ระหว่างทางท่านหายตัวไป ภายหลังมีผู้พบเห็นท่านเข้าสู่เซียนภาวะลอยขึ้นไปขี่เมฆอยู่บนฟากฟ้า
 
ท่านผู้ถือดอกบัวนี้เปนบุคคลาธิษฐานของความกตัญญู  ความเมตตา ดวงชะตา และอนาคต
 
 
ถัดมาก็คือท่านที่มีน้ำเต้า น้ำเต้าวิเศษนี้แขวนอยู่หลังเสื้อท่านทิกวยลี้
 
ท่านทิก๊วยลี้ เกิดเมื่อประมาณ พ.ศ. 200 เดิมชื่อ หลีเทียน เปนหนุ่มกำพร้ารูปงาม รักสันโดษ มีความสนใจในการท่องบทคัมภีร์และมีใจฝักใฝ่ในธรรมะไม่ส้องเสพเนื้อสัตว์ ต่อมาได้ละเคหสถาน ออกมาพำนักรักษาศีลตามโรงเจ เมื่อมีผู้มาขอทรัพย์สินและบ้านที่เคยอยู่อาศัยก็สละให้หมด และออกบำเพ็ญตบะตามถ้ำ (จะว่าไปก็คล้ายพระเวสสันดร)
 
ต่อมาท่านได้เดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์ของ อาจารย์ใหญ่เล่าลี่กุน พร้อมกับศึกษาธรรมบำเพ็ญภาวนาจนสำเร็จมีผู้นับถือและสมัครเปนศิษย์มากมาย
 
ท่านมีศิษย์กันกุฏิคนหนึ่งชื่อ เอี้ยวจื้อ อยู่มาวันหนึ่งอาจารย์หลีเหียนหนุ่มได้ถอดวิญญาณออกจากร่างไปหาอาจารย์ใหญ่ โดยบอกให้เอี้ยวจื้อดูแลร่างไว้ให้ดีครบ 7 วัน จะกลับมา
 
จังหวะว่าพอวันที่ 6 มารดาของเอี้ยวจื้อเจ็บหนัก และเอี้ยวจื้อคิดว่าอาจารย์ได้ตายแล้ว จึงเผาร่างอาจารย์เสียและรีบเดินทางไปหามารดา ทว่ามารดาก็ได้ตายลงเสียอีกก่อนไปถึง
 
ท่านหลีเหียนหลังจากถอดวิญญาณไปแล้ว ท่านอาจารย์ใหญ่ได้พาไปศึกษาวิชาเชียน 36 สำนัก เมื่อกลับมาไม่พบร่างของตน พบแต่กองขี้เถ้า วิญญาณหลีเหียนจึงเที่ยวล่องลอยหาร่างใหม่อาศัย เมื่อไปพบศพขอทานขาพิการสกปรกมีไม้เท้าและถุงข้าวสารอยู่ข้างๆ จึงเข้าไปอาศัยร่างนั้นได้เรียกตนเองใหม่ว่า ทิก๊วยลี้และได้เสกไม้เท้าเปนไม้เท้าเหล็ก เสกถุงข้าวสารเปนน้ำเต้า ส่วนข้าวสารก็เสกเปนยารักษาโรค และ จากนั้นก็รีบไปชุบชีวิตมารดาของเอี้ยวจื้อให้ฟื้นขึ้น แล้วก็กลับไปอยู่สำนักท่านอาจารย์ใหญ่ กลายเปนเซียนอีกคน
 
ตำราว่าผู้ใดปรารถนาจะให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง ให้จุดธูปบูชาและอธิษฐานถึง เซียนท่านนี้
 
ส่วนน้ำเต้านี้เปนน้ำเต้าวิเศษที่สามารถดลบันดาลสุขให้แก่มนุษย์ ภายในจะมีค้างคาวห้าตัวโบยบินออกมาได้ อันหมายถึง ความสุขห้าประการของมนุษย์ท่านเปนบุคคลาธิษฐานของการรักษาโรค และยา (ต่อตอน 2)

นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 หน้า 18 ฉบับที่ 3,853 วันที่ 15 - 18 มกราคม พ.ศ. 2566