ยลตามช่องมองข้ามช็อต ฉากที่ 4

29 ต.ค. 2565 | 00:30 น.

ยลตามช่องมองข้ามช็อต ฉากที่ 4 : คอลัมน์เปิดมุกปลุกหมอง โดย...ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3831

ท่าน เติ้ง เสี่ยว ผิง รัฐบุรุษแห่งบูรพาทิศ พูดถึงปฏิกริยาลักษณะ “คนโง่” ว่าเขาจะไม่ทำอยู่ 2 อย่าง คือ 1. ตำหนิตนเอง และ 2. ยกย่องสรรเสริญผู้อื่น แหม! นึกภาพออกว่าใกล้เคียงคนดังหลายท่านเลย (ฮา) 


เดี๋ยวนี้หน้าบ้านผมไม่มีกล่องของหนังสือพิมพ์ฉบับใดมาติดตั้ง เพราะนานปีมาแล้วผมตื่นสายออกมาสูดอากาศ ก็มีมอเตอร์ไซค์ของแบรนด์ดังมาเก็บตังค์ค่าจัดส่งรายเดือน สะลึมสะลือควักตังค์ให้ไปแมสเซนเจอร์ส่งใบเสร็จให้มาสวัสดีกัน เขาก็ผลุนผลันซิ่งหายไปเอะใจเอาใบเสร็จมาดูอีกที มันไม่มีแบรนด์ของหนังสือพิมพ์ค่ายนั้น เพราะมันเป็นใบเสร็จผีบอกทีหาซื้อได้จากร้านโชห่วย รู้ตัวเลยว่าเสียค่าโง่ เพราะสมองไม่มีแรงคิด เนื่องจากยังไม่ได้กินไข่ลวก (ฮา) 

ยังดีนะที่สมัยนั้นไม่ได้เล่น แชร์แม่ชม้อย ไอ้ที่ไม่เล่นไม่ใช่เพราะฉลาด พอดีช่วงนั้นเงินขาดมือก็เลยไม่ได้แจม (ฮา) เอาละ ตำหนิตนเอง กันไปเรียบร้อย เริ่มรอดพ้นข้อครหาไปแล้ว 50% 

 

ของโปรดผมบนโต๊ะอาหาร คือ ไอศครีม หรือ น้ำแข็งไส สั่งมากินทีไรก็จะเห็นละอองน้ำมาเกาะจนมันอิ่มตัวหยดย้อยลงมาบนพื้นโต๊ะ เห็นซ้ำซากมาเป็นปีๆ แต่ไม่มีไอเดียผุดขึ้นมาเลยว่า ถ้าเราพลังความเย็นไปยั่วให้เข้ามารวมตัวกันเยอะๆ มันจะเกิดเป็นก้อนเมฆ ถ้าเอาเกลือป่นละเอียดโปรยต่อเนื่องไปในทิศทางใด ก้อนเมฆก็จะลอยตามไปในทิศทางนั้น

 

 

ความคิดพิสดารนี้เกิดขึ้นมาจากการสังเกตว่า ทำไมคนขายไอติมแท่ง เขาถึงได้เอาเกลือโรยไว้รอบถังไอติม คนโบราณรู้ได้ไงว่าเกลือมันดูดซับความเย็นมาหล่อเลี้ยงให้น้ำแข็งกับไอติมละลายช้า


มหาบุรุษผู้รู้ว่า สารก่อความเย็น กับ เกลือป่น สามารถบันดาลเมฆให้เชื่อฟัง จนผลงานกลายเป็น ฝนเทียม คือ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในหลวง ท่านเป็นคนแรกของโลกที่เกิดมาเปิดฟ้าสั่งฝนได้! ไม่ให้เรียกว่า “เทพ” แล้วจะให้เรียกว่าอะไร ถ้าท่าน เติ้ง เสี่ยว ผิง ได้รับรู้ชัดเจนแล้วว่า ผมรู้จักยกย่องสรรเสริญผู้อื่น!  ได้โปรดลบชื่อผมออกจาก “แฟ้มคนโง่” ด้วยเด๊อ (ฮา)


เมื่อไหร่ก็ตามที่ได้ยินใครสักคนมาอุทานใกล้ตัวเราว่า “เอ๊ะ นั่นมันสร้อยทองนี่!” แล้วเขาก้มลงไปเก็บแบบอุบอิบ เดินไปหยิบมาให้เราดูพร้อมกับพูดจาโน้มน้าวว่า “ลาภลอยเลยนะเนี่ย เรามาแบ่งกันดีกว่า” 


มันจะเป่าหูให้เคลิบเคลิ้มต่อว่า “เส้นนี้หนักหนึ่งบาท สร้อยคอคุณมันหนักสลึงนึง คุณเอาเส้นนี้ไปเลย ฉันเอาสลึงเดียวก็พอ” ถ้าเรา “ตกข่าว” คือ “ไม่รู้?” ว่าพวกนี้เป็น “แก๊งตกทอง!” ประกอบกับ ความโลภขึ้นสมอง ดวงจะพลอยซวยก็เพราะเราเองนี่แหละที่ “งกแบบโง่ๆ”

 

เดี๋ยวนี้มันปรับอุบายจากการ “ทิ้งสร้อยทองอ่อยไว้ที่พื้น” หันมา “ทิ้งกระเป๋าตังค์วางไว้กับพื้น” เดินเข้ามาบอกเราว่า  “คุณทำกระเป๋าตังค์ตกไว้ ” เราควรจะรีบปลีกตัวชิ่งตีจากให้ไว ไม่งั้นจะโดนป้ายยาให้เราสติเลื่อนลอย เอาของมีค่าส่งให้มัน แถมไปกดตังค์จากตู้ ATM ให้มันเฉยเลย

 

เรื่องแบบนี้อย่าได้ใส่ร้ายป้ายสีว่า ความงก เป็นเหตุ ในโลกนี้มีคนงกท่วมโลกแต่เขาเป็นพวก นกรู้ เขางกแต่เขาไม่ได้โง่ “โง่ แปลว่า ไม่รู้” ยอมรับในใจเถอะว่า “เรายังไม่รู้อะไร” อีกเยอะ?


ผมไม่เห็นด้วยกับการดูถูกใครว่า โง่ ความตั้งใจที่วนมาคุยเรื่อง โง่ ต้องการจะให้แต่ละคนทั่วประเทศหันมาดูตัวเองว่า มีอะไรที่เรายังไม่รู้ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่ ต้องรู้ ควรรู้ หรือ น่ารู้ จะได้ไม่เป็นต้นเหตุให้คนอื่นโง่

                              ยลตามช่องมองข้ามช็อต ฉากที่ 4
ใครที่ไม่แอ่นอกรับว่า ตัวเราเป็นคนทำให้ตัวเองโง่ ก็อ้างข้อมูลที่บันทึกไว้ใน เว็บไซต์ The 101 World แก้ตัวเอาไว้เลยว่า เนื้อหามาจาก Guru โตมร สำหรับสำนวนถ้อยคำอักษรผมร่วมวงละเลงว่า “โลกร้อนอาจทำให้เราโง่ลง เนื่องจาก คาร์บอนไดออกไซด์ ในมวลอากาศแวะเข้าไปพักร้อนในก้อนสมอง!”


โจร 2 คน เป็นสหายกัน ไปพระเชตวันกับมหาชนเพื่อต้องการฟังธรรม โจรคนหนึ่งตั้งใจฟังธรรมกถา โจรอีกคนหนึ่งต้องการขโมยของ โจรผู้ฟังธรรมได้บรรลุโสดาปัตติผล โจรอีกคนหนึ่งแอบขโมยได้ทรัพย์มาเป็นค่าอาหารในเรือนของตน

 

โจรและภรรยาผู้ขโมยของได้พูดเย้ยหยันโจรผู้โสดาบันว่า ไม่มีค่าอาหารในเรือน เพราะความที่ฉลาดเกินไป โจรผู้โสดาบันจึงไปกราบทูลความเป็นไปนั้นแด่พระศาสดาพร้อมหมู่ญาติ พระศาสดา ท่านทรงแสดงธรรมซึ่งผมขอแปลจากรากบาลีมาเป็นคำบอกเล่าแบบบ้านๆ ว่า


“ผู้ใดโง่แล้วรู้เห็นแก่นแท้ในความโง่ว่ามันทำให้เขาเป็นคนโง่ การมีสติฉุกคิดจะช่วยให้เขามีโอกาสเป็นบัณฑิตได้บ้าง ผู้ใดที่เป็นคนโง่แล้วสำคัญผิดในความโง่ว่ามันทำให้เขาเป็นบัณฑิต ผู้นั้น เรียกว่า คนโง่”


เมื่อการเทศนาจบลง เหล่ามหาชนพร้อมด้วยหมู่ญาติของโจรและโจรผู้ใฝ่ธรรมก็บรรลุโสดาปัตติผล


ใครไม่รู้ในเรื่องที่ต้องรู้อยู่เป็นนิจ ถือว่าเขาเป็นคนปกติที่มีนิสัยไม่ปกติ ด้วยเหตุนี้แหละ พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสสอนว่า “อย่าเอาปกติของคนอื่นมาถือเป็นปกติของเราเอง” ใครเบื่อฟังหลักธรรมผมกราบเท้าชี้นำให้ดู“เว็บไซต์คำคมคนโสด” เขามีแคปชั่นในทวิตเตอร์โพสต์เล่นกันดิบๆ เป็นหนังคนละม้วนกับท่านพระศาสดา


อย่างเช่น โง่ครั้งแรกอ่ะ “พลาด” โง่ซ้ำซากอ่ะ “ควาย” ผู้ชายยุคนี้ไม่เสือก็ควาย ฝากชีวิตไม่ได้ ทั้งควาย ทั้งเสือ ควายไม่ใช่สัญลักษณ์ของคนโง่แต่เป็นโลโก้ของคนไร้สมอง (ฮา) ผมว่าสมาคมควายโลกกำลังตามล่าอยู่นะว่า มีใครบ้างที่บูลลี่ควาย (อิอิ)