ดีลภาษีส่งออก “สหรัฐ–ไทย”สะดุด เกษตรกรร่อแร่

11 ก.ค. 2568 | 23:30 น.

ดีลภาษีส่งออก “สหรัฐ–ไทย”สะดุด เกษตรกรร่อแร่ : คอลัมน์ฐานโซไซตี โดย...กาแฟขม หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4,112

KEY

POINTS

  • การเจรจาภาษีส่งออกระหว่างไทยกับสหรัฐ ไม่ได้ข้อสรุป โดยสหรัฐ จะประกาศอัตราภาษีใหม่ภายในวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนให้กับการส่งออกของไทย
  • เพื่อลดผลกระทบจากการขาดดุลการค้า ไทยอาจต้องเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐ มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกรไทย ที่กำลังประสบปัญหาราคาพืชผลตกต่ำ
  • ปัญหาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงจุดอ่อนของภาคเกษตรไทย เช่น การขาดการพัฒนาเทคโนโลยี และสายพันธุ์ข้าวใหม่ๆ ทั้งความล่าช้าในการกำหนดมาตรฐานคุณภาพข้าว ซึ่งทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง

*** หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ “ลึก ตรงประเด็น เห็นโอกาส” ฉบับ 4,112 ระหว่างวันที่ 10-12 ก.ค.2568 โดย...กาแฟขม

*** ต้องติดตามด้วยใจระทึก ว่าด้วยภาษีที่สหรัฐของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกเก็บจากประเทศไทย หลัง พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคลัง หัวหน้าคณะเจรจาของไทยเดินทางไปเจรจาอย่างเป็นทางการ แต่ไม่ได้ข้อสรุปว่าสหรัฐจะเรียกเก็บจากไทยเท่าไร จากเดิมที่ประกาศตั้งกำแพงภาษีเป็นการทั่วไปกับไทยไว้ที่อัตรา 36% 

ที่ต้องบอกระทึกด้วยเหตุว่า คล้อยหลัง พิชัย เดินทางกลับ สหรัฐบอกทันที ไม่เจรจารายประเทศแล้ว จะส่งจดหมายบอกแทนเรียกเก็บเท่าไรอย่างไร มีผลภายใน 1 ส.ค.นี้เลย ตอนนี้ก็ลุ้นกันอยู่หลังจากยื่นข้อเสนอเปิดทางให้สหรัฐส่งสินค้ามาไทยภาษี 0% หลายรายการเพื่อลดขาดุลแล้ว ภาษีนำเข้าเฉลี่ยที่ไทยส่งออกไปสหรัฐจะไม่เกิน 18 % หากเกินกว่านี้กระอักแน่ กับเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาตลาดสหรัฐในสัดส่วนสูงมากในปัจจุบันนี้ 

*** ลุ้นกันอยู่อีกประเด็นที่สำคัญไม่น้อย เป็นการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเพื่อตัดลดการขาดดุลนี่แหล่ะ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ที่เราผลิตจำนวนมาก และมีเกษตรกรที่เกี่ยวข้องจำนวนหลายล้านคน รวมทั้งที่เกี่ยวเนื่องกับภาคเกษตรกว่าครึ่งค่อนประเทศ เรียกว่าลูกหลานชาวนาเกษตรกรประเทศนี้ มีจำนวนมากจริงๆ ถ้าเปิดตลาดให้สหรัฐอ้าซ่า สินค้าโถมกระหนํ่าเข้ามา ไฟในประเทศก็ลุกไหม้ขึ้นมาทันที 

หลังจากที่ฐานรากของไทยค่อนข้างอ่อนแอ ในแง่ขีดความสามารถในการแข่งขัน และเทคโนโลยี ที่มีปัญหาในการปรับตัวมานาน ยิ่งสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรในห้วงนี้ แทบทุกรายการจริงๆ ที่ตกตํ่าโงหัวไม่ขึ้น ซึ่งส่งผลกำลังซื้อรากหญ้า ดูจากเงินเฟ้อที่ติดลบมาแล้ว 3 เดือนติดก็รู้ สินค้าเกษตรตก รายได้หด ไม่มีกำลังซื้อ 

*** ที่บอกว่า ภาคเกษตรเราขาดเทคโนโลยีและนวัตกรรม ไม่ได้ยกเมฆเล่านิทาน ยกตัวอย่างให้พอแลเห็นพันธุ์ข้าวของไทย ที่บอกว่าชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ แต่ท่านรู้กันหรือไม่ในรอบหมายปีที่ผ่านมา ไทยแทบไม่มีการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวใหม่ๆ เลย ผลผลิตต่อไร่จึงยํ่าอยู่กับที่ 500-600 กิโลโดยเฉลี่ย แต่เวียดนามคู่แข่งสำคัญไปที่ 1.2 พันตันต่อไร่ แล้วอย่างนี้จะสู้กันอย่างไร กรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำอะไรอยู่ในทุกๆ วัน หรือเพียงนั่งฉีกปฏิทิน 

*** ว่าแล้วก็เลยเถิดไปถึงเรื่องมาตรฐานข้าว ที่มีความพยายามกำหนดมาตรฐานข้าวนุ่มเพื่อจัดระเบียบ จัดระบบ แข่งขันให้ได้กับเวียดนาม คณะกรรมการมาตรฐานข้าว กระทรวงพาณิชย์ ในระดับเจ้าหน้าที่ เขาทำกันเสร็จเสนอกันขึ้นไปแล้ว แต่ไม่รู้ไปอยู่ในลิ้นชักไหน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ วุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ช่วยไปไล่เปิดควานหาดูหน่อย การกำหนดมาตรฐานจะทำให้ผู้ผลิต ผู้ปรับปรุง มีมาตรฐานชัดเจนในการยึดถือ ผู้ซื้อได้รับความมั่นใจได้สินค้าคุณภาพตามมาตรฐาน ช่วยแยกแยะตลาดได้ชัดเจนขึ้น แล้วมันจะไม่ดีกับตลาดข้าวและชาวนาไทยหรืออย่างไร เจ้ากระทรวงพาณิชย์คนใหม่ จตุพร บุรุษพัฒน์ ลองถามๆ ดูก็ได้ พวกมาตรฐานพวกนี้เป็นอย่างไร ทำไมต้องวางมาตรฐานกัน ที่สำคัญเรื่องอยู่ที่ไหน

                            ดีลภาษีส่งออก “สหรัฐ–ไทย”สะดุด เกษตรกรร่อแร่

*** เศรษฐกิจแย่ เงินไม่มี มิฉาชีพระบาดหนัก หลอกลวงเอากับผู้ที่ยังพอมีเงินเหลือ กลุ่มเป้าหมายผู้สูงอายุ ที่ไม่ค่อยได้เข้าถึงข้อมูล เทคโนโลยี ใช้จุดอ่อนช่องว่างโฆษณาล่อลวงจากความโลภ อยากได้ ไม่ควรปล่อยเงินไว้เฉยๆ ในอัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยเงินฝากตํ่า ก็มีมิจฉาชีพไปหลอกลวงให้ลงทุน พวกนี้มีวิธีการปลอมแอคเคาท์ไลน์ทางการ ที่ยังเห็นอยู่มีปลอมแอคเคาท์ไลน์บริษัทนํ้ามันรายใหญ่เพิ่มความน่าเชื่อถือ หลอกลวงลงทุนผลตอบแทนรายวัน 10-35  ของเงินทุน และถ้าลงเป็นเริ่มต้นหมื่นบาทระยะยาวผลตอบแทน 7-12% 
เตือนกันตรงนี้อย่าได้หลงใหล เผลอไผลกับคำลวงมิจฉาชีพพวกนี้ ไม่มีการลงทุนใดไม่มีความเสี่ยง และไม่มีการลงทุนใดที่ให้ผลตอบแทนสูงได้ขนาดนั้น ว่าก็ว่าตำรวจไซเบอร์ต้องทำงานให้เข้มแข็งหน่อยในการปราบอาชญากรรมพวกนี้ สร้างอานิสงส์ให้ประชาชนคนไทยหน่อยเถิด 

*** เรื่องร้อนๆ ไปอยู่ในมือของศาลรัฐธรรมนูญจำนวนมาก ตัดสินออกมาแต่ละครั้งมีเสียงฮือฮาเสมอ ทั้งถูกใจและไม่ถูกใจ จึงจะต้องอธิบายความ บทบาท อำนาจ หน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญกันบ้าง ว่าแล้วจึงจัดทำโครงการ “ศาลรัฐธรรมนูญพบสื่อมวลชน ประจำปี พ.ศ. 2568” ในวันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม 2568 ตั้งแต่เช้าที่ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ มีการเสวนาหัวข้อ “การสร้างระบบถ่วงดุลและบทบาทหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญในอนาคต” ระดมมาทั้งนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิรอบด้าน งานนี้น่าสนใจยิ่งนัก...

คอลัมน์ฐานโซไซตี โดย...กาแฟขม หน้า 4 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,112 วันที่ 10 - 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2568