ภาษีเมกา..ถ้าโดนฟาดไม่มาก ถือว่าโชคดี

03 ก.ค. 2568 | 23:30 น.

ภาษีเมกา..ถ้าโดนฟาดไม่มาก ถือว่าโชคดี : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

*** เส้นตายการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ จะกลับมามีผลเต็มรูปแบบ ในวันที่ 9 ก.ค. 2568 หมายความว่า ถึงแม้เส้นทางการเมืองของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รวมไปถึงรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย จะเกิดอาการสะดุดลงหลังจากที่ประชุมคณะตุลาการศาลธรรมนูญ สั่งให้ นางสาวแพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า 

ในจังหวะเดียวกันที่คณะทำงานของไทย หรือ “ทีมไทยแลนด์” ได้โอกาสเข้าเจรจาในคืนวันที่ 3 ก.ค. ก่อนที่ภาษีศุลกากรตอบโต้ดังกล่าวจะกลับมา ซึ่งนั่นก็ทำให้นาทีนี้ ไม่ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี รักษาการรัฐมนตรี หรือเป็นรัฐมนตรีที่รับผิดชอบเรื่องเศรษฐกิจยังคงต้องเดินหน้าสู่โต๊ะเจรจา...เพราะตอนนี้ผลประโยชน์ของชาติต้องมาก่อน!!! 

อย่างไรก็ตาม...ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่า ภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ เป็นส่วนหนึ่งของสงครามการค้าโลก ซึ่งเกี่ยวพันไปถึงการกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งของอเมริกา (America great again) ดังนั้น เป้าหมายที่แท้จริงของอเมริกา จึงมุ่งไปที่ประเทศคู่ค้าขนาดใหญ่ ส่วนประเทศไทยเป็น “ตัวประกอบที่โดนหางเลข” 

มาถึงขั้นนี้...เอาแค่ไม่มีผลกระทบที่หนักหนา จนส่งผลกระทบไปถึงทิศทางการเติบโตของระบบเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต เจ๊เมาธก็คิดว่าต้องดีใจมากแล้ว 

ว่าแต่ “ทีมไทยแลนด์” จะเจรจากันในเรื่องใด และบริษัทหรือหุ้นตัวใดจะได้รับผลกระทบบ้าง...

ในขณะที่ประเด็นการเจรจาของประเทศอื่น ล้วนมีความชัดเจนว่าจะคุยอะไร เช่น แคนาดา ยอมถอยภาษีดิจิทัล ไต้หวันเดินหน้าเจรจาคืบหน้าในการที่ TSMC จะเข้าลงทุนใหญ่ในสหรัฐฯ เวียดนามเร่งแก้ปัญหาแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า ในขณะที่ทางสหรัฐฯ มองไปที่ประเด็นของการได้รับผลประโยชน์สูงสุด 

แต่ไทยไม่ชัดมากนักจะเอาอะไรเจรจา ...ดูละม้ายคล้ายว่าลูกพี่จะเอาอะไรก็ได้ ถ้าให้ได้ก็จะให้ นั่นจึงทำให้ไม่มีสิ่งใดการันตีว่า การเจรจาของไทยจะมีความสำเร็จที่น่าพอใจ แต่ต้องขอให้เสียหายไม่มากพอ 

กำหนดแนวทางการเจรจาไปกว้างๆ แบบได้ประโยชน์ร่วมกัน (Win-Win) ตามกรอบ 5 เสาหลัก ได้แก่ ความร่วมมือเพื่อนำไปสู่การเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐฯ การเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ การเปิดตลาดสาขาเกษตรของไทย การบังคับใช้กฎหมายป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า และการส่งเสริมการลงทุนในสหรัฐฯ และอาจใช้กลยุทธ์การว่าจ้าง “ล็อบบี้ยิสต์” เพื่อการปูทางและสนับสนุนการเจรจาในรูปแบบเดียวกับที่หลายประเทศใช้ ก็ไม่แน่ว่าจะได้ผลสำหรับประเทศไทย  

อย่างไรก็ดี มูลค่าการจัดเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าของไทย ที่กำหนดไว้ที่ระดับ 37% ก่อนหน้านี้ จะผูกโยงไปอย่างกว้างขวางกับหุ้นหลายๆตัว  

1. ยานยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ โดยประเทศไทยส่งออกรถยนต์ไปสหรัฐ คิดเป็น 9% ของการส่งออกรถยนต์ และคิดเป็น 6% ของการผลิตรถยนต์ ได้แก่  STANLY AH PCSGH TSC SAT INGRS และ GYT

2. เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์  DELTA KCE HANA และ CCET 

3. ยางและผลิตภัณฑ์ยาง STA STGT NER TEGH และ TRUBB

4. สินค้าเกษตร เช่น ข้าว อาหารสุนัขและแมว ทูน่าและผลิตภัณฑ์ทูน่า กุ้งและผลิตภัณฑ์กุ้ง มะพร้าวและผลิตภัณฑ์มะพร้าว สับปะรดกระป๋อง CFRESH COCOCO PLUS MALEE TU ASIAN SUN SSF CPF ITC CM CHOTI AAI BRR CFRESH   

ไทยส่งออกไปหลากหลายกลุ่มสินค้า ยางพารา ทั้งยางแท่ง ถุงมือยาง และยางรถยนต์ หรือ กลุ่มผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารแปรรูป ที่ไทยร่วมกับประเทศอื่นอีกไม่กี่ประเทศในโลก เป็นผู้ส่งออกหลัก 

ขณะที่ในส่วนของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนใหญ่ไทยก็เป็นแค่ผู้รับจ้างผลิตของสหรัฐ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งหากพิจารณาให้ดี ยังมีหลายอย่างที่พูดคุยกันได้ 

แต่ก็นั้นหละ มาถึงขั้นนี้แล้วบ่นไปก็ไม่มีประโยชน์ ...จะโทษใครก็ไม่ได้ เพราะยุทธศาสตร์ของประเทศที่มีมานาน วางตำแหน่งให้ไทยไม่ได้คิดนวัตกรรมใดขึ้นมาใหม่ และเป็นได้แค่ “มือปืนรับจ้าง” ซึ่งถ้าหากการเจรจาในครั้งนี้จบลง โดยที่ประเทศไทยไม่เสียเปรียบ หรือเสียหายเกินไปก็ถือเป็นโชคดีมากแล้ว

เจ๊เมาธ์ไม่ได้เล็งผลเลิศ ถึงแม้จะช่วยอะไรไม่ได้ แต่ก็ถือซะว่าครั้งนี้เป็นบทเรียน อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ต้องแก้ไข หลังจากนี้ก็ศึกษาและกำหนดยุทธศาสตร์ชาติกันใหม่นะคะ  

นาทีนี้ถ้าคนไทยเราไม่ช่วยกันเอง...ก็ไม่มีใครช่วยเราได้อีกแล้วเจ้าค่ะ