*** หลังคณะทำงานสหรัฐอเมริกา และ จีน ได้พบเพื่อหารือกันที่สวิตเซอร์แลนด์ จนสามารถตกลงลดภาษีนำเข้าระหว่างกันชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน โดยสหรัฐฯ จะลดภาษีนำเข้าสินค้าจีนเหลือ 30 % ขณะที่จีนจะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ เหลือ 10 % ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลก ปรับตัวไปในทิศทางที่เป็นบวก หลัง “สงครามการค้า” สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลกผ่อนคลายความตึงเครียดลงไป
เจ๊เมาธ์ได้จับเอามุมมองและความเห็นของนักวิเคราะห์สำหรับตลาดหุ้นไทย มาสรุปได้ดังนี้...
นักวิเคราะห์จาก บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส มองว่า หุ้นกลุ่ม China Play น่าสนใจ...โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี ได้แก่ IVL PTTGC SCC และ SCGP หลังแรงกดดันจากภาษีนำเข้าสหรัฐ ที่ผ่อนคลายลง และจีนมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาต่อเนื่อง ส่วนหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เช่น AMATA WHA ROJNA มี Sentiment บวก จากภาษีศุลกากรสหรัฐ ที่มีแนวโน้มต่ำกว่าที่ประกาศไว้มากส่งผลให้ยอดขายที่ดินนิคมอาจไม่ได้ต่ำอย่างที่กังวล
ส่วนนักวิเคราะห์จาก บล.ทรินิตี้ คาดจะมีกลุ่มหุ้นไทยบางกลุ่มที่สามารถปรับตัว Rally รับข่าวการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ กับ จีน ในระยะสั้น ได้แก่ กลุ่มที่ได้ประโยชน์ทางอ้อมจากภาคการส่งออกของจีนที่มีแนวโน้มดีขึ้น อาทิ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ DELTA CCET KCE HANA กลุ่มที่ได้ประโยชน์ทางอ้อมจากภาวะเศรษฐกิจจีน ที่มีแนวโน้มดีขึ้น ได้แก่ IVL PTTGC SCC SCGP และหุ้นในกลุ่ม Oil & Gas ที่มีความสัมพันธ์กับราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น ได้แก่ PTTEP TOP BCP SPRC เป็นต้น
ขณะที่นักลงทุนจาก บล.เอเชียพลัส ให้ความเห็นว่า หลังสหรัฐ และ จีน ได้บรรลุข้อตกลงการค้าเฟสหนึ่งในช่วง 90 วัน เป็นจิตวิทยาเชิงบวกจากข่าวต่อกลุ่ม กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA KCE HANA) กลุ่มปิโตรเคมี (PTTGC IVL SCC IRPC) กลุ่มพลังงาน (SPRC, TOP PTTEP BCP) กลุ่มอาหารสัตว์ (AAI ITC) กลุ่มยาง (STA TEGH) และ ถุงมือยาง (STGT) นอกจากนี้ การนำเข้าข้าวโพดเพิ่มขึ้นเพื่อแลกกับการลดอัตราภาษี จะส่งผลดีกับหุ้นกลุ่มธุรกิจปศุสัตว์ เช่น CPF BTG TFG
อย่างไรก็ตาม...หากมองลึกลงไปจะเห็นคำว่า “ชั่วคราว” และ “จิตวิทยาเชิงบวก” ถูกใช้เป็นจุดชี้วัด ซึ่งนั่นอาจหมายความว่านักวิเคราะห์ไม่ยอมผูกมัดตัวเองว่า หุ้นกลุ่มใดจะได้อานิสงส์จากความตึงเครียดที่ลดลง
อย่างหนึ่ง เป็นเพราะยังไม่มีใครรู้ว่า ภายใต้มุมคิดของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่นิยมใช้วิธีการ “บลัฟ” และ “สับขาหลอก” เพื่อให้ได้ผลประโยชน์สูงสุดในการเจรจา จนจับทางไม่ถูก และไม่รู้ว่า ทรัมป์ จะเอาอะไรกันแน่ ซึ่งความไม่แน่นอนที่ว่า ทำให้ไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าในอนาคตเรื่องแบบนี้จะกลับมาอีกหรือไม่ ...หรือจะมีความเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้นอีกบาง
อีกส่วนก็คือ สิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้ว และไม่สามารถลบล้างได้ ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อมั่นต่อระบบการค้าโลกที่ถูกทำลายลง หรือ เรื่องที่ว่า “ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวรบนโลกของผลประโยชน์” และ “การลงทุนที่หวังผล” กลับชัดเจนว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
ถึงตอนนี้สุภาษิตไทยที่ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ควรถูกนำมาใช้...บนโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “พี่ผู้มีแต่ให้” อีกต่อไปแล้วค่ะ
*** มีข่าวว่า เก้าอี้ผู้บริหารบริษัทพลังงานขนาดใหญ่รายหนึ่งในตลาดหุ้น กำลังสั่นคลอนหนักจนใกล้ถึงขีดสุดแล้ว
ปัญหาใหญ่ที่พูดกันในบอร์ดมาจากผลงานบริหารและผลประกอบการของบริษัทอยู่ในสภาพบู้บี้ และยังไม่มีท่าทางว่าจะดีขึ้นในอนาคตอันใกล้ เห็นว่า ปี 2567 กำไรวูบไปจากปีก่อนกว่า 1 หมื่นล้านบาท
แถมยังมีการเล่นการเมืองภายในกันเองสารพัด มีทั้งปล่อยข่าว ทั้งจริงปนเท็จ เท็จปนจริง ทั้งไม่รู้จริง?!
ยังมีสารพัดเรื่องเล่าและเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับความเหมาะสมในการลงทุน ที่กล่าวหาว่า มีเงินทอน จากการลงทุนในอดีต และโครงการในอนาคตที่ตอนท้ายถูกเบรกคาบอร์ด
สารพัดข้อครหา ประเดประดังท่วมไปหมด เรื่องสต็อกล่องหนหายวับ เรื่องการจ้างที่ปรึกษาการเงินสัญชาติอเมริกา ที่ยอมจ้างสุดแพง จนมีข้อครหาเรื่องของตกหล่น
ทั้งหมดนี้คือ ข้อครหา และ ยังไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ แต่ข้อครหานี้ ก็เพียงพอที่จะสั่นคลอนเก้าอี้ผู้บริหารระดับสูงชาวเกาะ ที่ยังไม่ยอมจำนนต่อสิทธิของผู้ถือหุ้น
ขนาดพยายามสร้างวาทกรรม ว่า หากกองทุนประกันสังคม ขายหุ้นที่ถืออยู่ออกไปให้กองทุน ก็เสมือนการขายชาติ
ตรรกะป่วยไหม๊? ก็ลองพิจารณาดู พอมีคนเทขายหุ้นก็บ่น? พอฝรั่งเทขายก็ด่ารัฐบาล แต่พอมีคนมาซื้อหุ้น ก็หาว่าเขาจะมาฮุบสมบัติชาติ?
สรุปเอายังไงกันแน่? หากบริษัท เป็นสมบัติชาติ ก็ Delete ออกไป ไม่ต้องอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ นักลงทุนและผู้ถือหุ้นย่อมมีสิทธิ์ในการออกเสียง เช่น หากผู้บริหารโกง เอาแต่พวกตนเอง ก็มีสิทธิ์โหวตปลดออก ตรงกันข้าม หากบริหารดี มีความก้าวหน้า และ มีความสุจริต (เน้นว่าสุจริต) ก็ควรสนับสนุน จริงหรือไม่?
ไม่อยากพูดเยอะเรื่องนี้ เพราะได้ข่าวว่าละครน่ำเน่าใกล้จบ
แต่การสร้างเอกสารเท็จใส่ร้ายคนอื่น เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำนะจ๊ะ
ตลาดหลักทรัพย์ และกลต. ก็ควรไปตรวจสอบบ้าง เดี๋ยวอีกหน่อย ต่างชาติเค้าจะไม่มาลงทุนอีก จะหาว่าไม่เตือน!!!