DUSIT ศึกสายเลือด...ดุสิตธานี!

04 มิ.ย. 2568 | 04:52 น.
อัปเดตล่าสุด :04 มิ.ย. 2568 | 05:12 น.

DUSIT ศึกสายเลือด...ดุสิตธานี! : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

*** ไม่น่าเชื่อว่า บมจ. ดุสิตธานี หรือ DUSIT หนึ่งในบริษัทรุ่นแรกๆ ที่จดทะเบียนมาแล้วถึง 50 ปี ในตลาดหุ้นไทยเกิดความขัดแย้งจนถึงขั้น “แตกหัก” หลังจากที่ “ท่านผู้หญิง ชนัตถ์ ปิยะอุย” ผู้ก่อตั้งได้จากไปไม่นาน หลังจากที่ “บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด” ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 (49.74%) ไม่อนุมัติงบการเงินประจำปี 2567 ในการประชุมประจำปีครั้งที่ 32/2568 วันที่ 25 เมษายน 2568 ทั้งที่งบการเงินนั้น ได้ผ่านการตรวจสอบและลงนามรับรองโดยผู้สอบบัญชีแล้วในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น 

ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทอายุกว่าครึ่งร้อยปีแห่งนี้กันแน่... 

ความขัดแย้งภายในน่าจะเริ่มต้นจากการ “เปลี่ยนขั้วอำนาจ” ในกลุ่มทายาทที่จดทะเบียนในนามของ “บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด” โดยได้เปลี่ยนจากทายาท “สายผู้ชายมาเป็นสายผู้หญิง” โดยอ้างเหตุผลว่า ไม่พอใจที่บริษัทมีการขาดทุนสะสมกว่า 1,254 ล้านบาท บริษัทไม่จ่ายปันผลมานานถึง 5 ปี รวมไปถึงไม่พอใจการบริหารของฝ่ายบริหารปัจจุบัน โดยกลุ่มทายาทที่ว่านี้จดทะเบียนในนามของ “บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด” ซึ่งประกอบด้วย 

1. สายพี่ชายใหญ่ นำโดย “ชนินทธ์ โทณวณิก” มีสัดส่วนการถือหุ้นรวม 26.66%

2. สายลูกสาวกลาง นำโดย “สินี เธียรประสิทธิ์” มีสัดส่วนการถือหุ้นรวม 26.65%  

3. สายลูกสาวคนเล็ก นำโดย “สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค” มีสัดส่วนการถือหุ้นรวม 21.68%  

4. สายกงสี หรือ กองมรดกของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ถือหุ้นในสัดส่วน 24.99% 

อย่างที่สอง คงจะหนีไม่พ้นไปจากเรื่องของผลประโยชน์ ซึ่งจนถึงปัจจุบัน DUSIT มีโรงแรม 58 แห่ง ใน 19 ประเทศ และเมื่อรวมกับธุรกิจอื่นในเครือ ไม่ว่าจะเป็น วิลล่า อาหาร อสังหาริมทรัพย์ และการศึกษา และมีแบรนด์ภายใต้เครือขยายจาก 4 แบรนด์ เป็น 10 แบรนด์ มีพนักงานกว่า 10,000 คน 

ดังนั้น สิ่งที่เหล่าทายาท “นามสกุลใหญ่” เหล่านี้ ต่างหมายปองและแย่งชิงจึงมีมูลค่ามหาศาลที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว... 

ล่าสุด ในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 32/2568 ในวันพุธที่ 28 พ.ค. 2568 (การประชุมที่เลื่อนมาจากวันที่ 25 เม.ย. 2568) ที่ผ่านมา มีกรรมการ 4 รายหมดวาระ ต้องพ้นออกจากตำแหน่ง และไม่ได้รับการต่ออายุ ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมีกรรมการเหลืออยู่จำนวน 8 ราย โดยกรรมการที่พ้นวาระได้แก่  

1. นายอาสา สารสิน (ประธานกรรมการ) 

2. นางปราณี ภาษีผล (ประธานกรรมการตรวจสอบ)  

3. นางภควัต โกวิทย์วัฒนพงศ์ (ประธานกรรมการลงทุน) 

4. นายสมประสงค์ บุญยะชัย (กรรมการการลงทุน และกรรมการสรรหา พิจารณาค่าตอบแทน และบรรษัทภิบาล) 

มีความเป็นไปได้ว่า กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งทั้ง 4 ราย จะเป็นบุคคลที่ทายาทสาย “พี่ชายใหญ่” ให้ความเชื่อมั่น ดังนั้นกรรมการรายใหม่ที่จะถูกสรรหาเข้ามาแทนกรรมการที่หมดวาระ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม อาจมองได้ว่าน่าจะเข้ามาเป็นมือไม้ของ “ขั้วอำนาจใหม่” ซึ่งดูท่าว่าน่าจะสามารถยึดอำนาจได้แล้วอย่างเบ็ดเสร็จ 

นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังแต่งตั้ง บริษัท เคพีเอ็มจี ภูมิไชย สอบบัญชี จำกัด เป็นผู้ตรวจสอบบัญชี แม้จะมีแนวโน้มว่าเป็นสายของขั้วอำนาจใหม่ แต่การที่กรรมการบริษัทออกเสียงไปในทิศทางเดียวกัน ก็น่าจะเป็นหนึ่งในการประนีประนอม ที่ทำให้ทั้งขั้วอำนาจใหม่ และ เก่าไม่ถึงขั้นแตกหักกันไปเลยซะทีเดียว ในขณะที่งบการเงินไตรมาส 1/2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 47.86 ล้านบาท ลดลง 61% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  

น่าสังเกตว่า “บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา” หรือ CPN ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ในสัดส่วน 17.09% เลือกใช้วิธีงดออกเสียงในบางรอบของการประชุมผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ก็เพื่อกันไม่ให้ตัวเองต้องมีส่วนพัวพันกับ “ศึกสายเลือด” 

แต่ความน่าสนใจที่ว่า กลับจะส่งผลให้ CPN อาจกลายเป็นตัวแปรที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง หากเกิดการแย่งชิงของเหล่าทายาทที่ชัดเจนมากขึ้นในอนาคต ซึ่งหากในอนาคต CPN หันไปจับมือกับทายาทสายใดสายหนึ่ง ในบริษัท “ชนัตถ์และลูก” ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะทำให้เกมชิงอำนาจภานอาจพลิกขั้วได้อีกครั้ง 

อย่างไรก็ตาม... เจ๊เมาธ์เชื่อว่า บริษัทอายุครึ่งร้อยปีอย่าง DUSIT อาจหาทางออกจากความขัดแย้งที่ว่าได้ในเวลาอีกไม่นาน แต่เจ๊ยังเชื่ออีกว่า ไม่ว่าความขัดแย้งใดก็จะมีทั้ง “ผู้แพ้และผู้ชนะ” โดยกลุ่มผู้ชนะก็คงจะได้ดีใจ แต่ใครที่เป็นผู้แพ้ก็คงจะฝังใจ และเป็นไปได้ที่จะรอวันเอาคืน ...ส่วนจะเอาคืนจากใคร หรือ จะได้ใครมาเป็นพวกนั้นเป็นเรื่องอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นในอีกไม่นานต่อจากนี้