*** ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จากระดับ 2.00% เป็น 1.75% ต่อปี โดยให้มีผลทันที กลายเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ดัชนีหุ้นไทยปรับบวกขึ้นไปถึง 26.14 จุด จนขยับเข้าใกล้ระดับดัชนีหุ้นไทยที่ 1200 จุดได้มากขึ้น
ขณะเดียวกัน การลดดอกเบี้ยรอบนี้ ถือเป็นการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของไทยลงเป็นครั้งที่ 2 ในเวลาห่างกันเพียงไม่กี่เดือน สะท้อนทิศทางของการเงินการคลังของไทย กำลังปรับเปลี่ยนเพื่อต่อสู้กับสงครามการค้าโลกและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นทั่วโลก...
ว่าแต่ในมุมมองของนักวิเคราะห์แต่ละสำนัก มีมุมมองต่อการปรับลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ ว่าจะส่งผลต่อหุ้นในกลุ่มใดบ้าง ???
เริ่มต้นจาก บล. ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ยังมีโอกาสที่ กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกหนึ่งครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ โดยจะลดลงสู่ระดับ 1.50% หากแรงกดดันจากการขึ้นภาษี ส่งผลกระทบต่อการบริโภคและการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ
และมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ จากอัตราดอกเบี้ยขาลง และแนวโน้มการบริโภคภายในประเทศ ได้แก่ กลุ่มไฟแนนซ์, โรงไฟฟ้า, โทรคมนาคม และค้าปลีก-บริการสุขภาพ โดยมีหุ้นเด่นประกอบด้วย MTC GULF CPALL และ BDMS
ส่วนทาง บล. กรุงศรี ระบุว่า ถึงแม้มติของ กนง. ไม่ได้เป็นเอกฉันท์ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 5 ต่อ 2 แต่ทว่าสอดคล้องกับมุมมองที่คาดการณ์ว่า จะมีการปรับลดลง เพราะฉะนั้นการลดอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ ทำให้ตลาดตอบรับในเชิงบวก
ทุก 25bps จะทำให้ Equity Risk Premium จากในปัจจุบันที่ 4.95% ขยับขึ้นไปอีก 25bps ซึ่งจะช่วยหนุนดัชนีหุ้นไทยได้ประมาณ 45-50 จุด
หุ้นเด่นแนะนำกลุ่มที่ได้ประโยชน์ดอกเบี้ยขาลง เช่น GULF GPSC MTC SAWAD JMT AP LH CPALL BJC MINT ADVANC ขณะที่ระยะสั้นหลีกเลี่ยงธนาคารขนาดใหญ่ และกลุ่มประกัน
บล. ฟิลลิป มองว่า การปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ส่งผลให้ต้นทุนของภาคธุรกิจและการบริโภค ที่มีแนวโน้มลดลงในระยะถัดไป ในเบื้องต้นจึงมองเป็นบรรยากาศเชิงบวกต่อ SET Index โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มการเงิน ค้าปลีก/ค้าส่ง และอสังหาฯ รวมถึงหุ้นที่มีสัดส่วนหนี้สินสูง
ในทางกลับกันมองเป็นเซนติเมนต์เชิงลบต่อกลุ่มธนาคาร ตามส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยหรือ NIM ที่มีแนวโน้มลดลงในระยะถัดไป แนะนำเชิงกลยุทธ์ลงทุน AP BJC CPALL CPAXT KTC MTC SAWAD TNP TRUE
ส่วนทาง บล.หยวนต้า ที่ระบุว่า การที่ตลาดหุ้นไทยตอบรับผลประชุม กนง. เป็นดัชนีย่อลงมาจาก Sell on Fact โดยมีแรงเก็งกำไรมาก่อนหน้านี้ อาทิ กลุ่มไฟแนนซ์ โดยเฉพาะ MTC ที่ปรับตัวขึ้นมารอก่อนแล้ว เมื่อมีมติกนง. ชัดเจนออมาจึงมีแรงขายออกมา
ส่วนการปรับลดประมาณการ GDP ไทยปี 2568 เหลือ 1.3-2.0% ขึ้นกับเงื่อนไขการเจรจาการค้ากับสหรัฐเป็นหลัก ตลาดรับรู้แล้วว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลด GDP อีกทั้งกำลังจะเข้าวันหยุดยาว จึงมีแรงขายลดเสี่ยงออกมาหลังจากขึ้นมาระดับหนึ่ง
ปิดท้ายด้วย บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล มองว่า เป็นจังหวะที่เหมาะแก่การเทคโฟรฟิต โดยแบ่งขายหุ้นตัวที่นักลงทุนมองกว่า อาจจะได้กำไรบ้าง และรอไปซื้อหุ้นกลุ่มใหญ่หลัก หลังจาก ThaiESGX ออกมา และรอดูว่าจะสามารถขายได้กี่หมื่นล้านบาท
เนื่องจากว่า กระทรวงการคลังได้ออกมาบอกว่า จะมีการโยกกองทุน LTF และมีเงินใหม่ที่จะเข้ามา รวม ๆ ก็น่าจะประมาณแสนล้านบาท โดยหุ้นที่แนะนำ GULF PTTEP SCC และ CPALL
อย่างไรก็ตาม...เจ๊เมาธ์ต้องบอกไว้ก่อนว่า มุมมองของนักวิเคราะห์ใช่ว่าจะถูกต้องไปซะทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ปัญหาภาษีนำเข้าสินค้า (Tariff) ของสหรัฐอเมริกากับประเทศคู่ค้าทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยยังถูกดองและค้างคาน่าจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย ในยุคที่ข่าวสารหรือข้อมูลจากต่างประเทศเป็นหนึ่งในปัจจัยหลัก ที่ในบางครั้งทรงอิทธิพลได้มากกว่าการขึ้น หรือลงของดอกเบี้ยในประเทศอย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้
ดังนั้น เมื่อเห็นดอกเบี้ยนโยบายไทยปรับลงเหลือ 1.75% ก็อย่าได้รีบดีใจ หรือเสียใจเกินไปนะคะ เจ๊เม้าธ์เชื่อว่า...อีกไม่นานสงครามการค้าที่ยังเจรจาไม่จบ จะนำพาปัญหาเข้ามา จะบีบหัวใจให้ตื่นเต้น และปวดหัวได้มากยิ่งกว่านี้แน่นอนค่ะ