รวมเรื่องฉาว หุ้นไทย ปี 66

29 ธ.ค. 2566 | 02:30 น.

รวมเรื่องฉาว หุ้นไทย ปี 66 คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์

*** หุ้นฉาวของปี 2566 เริ่มต้นขึ้นจาก บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE ซึ่งมีปัญหาคาบเกี่ยวมาตั้งแต่ปลายปี 65 จากกรณี “ปล้นกลางแดด” หลังจากที่พบว่า มีปริมาณการซื้อขายหุ้น MORE ที่ผิดปกติกระจายในหลายโบรกเกอร์ และต่อมาก็ตรวจพบว่ามีนักลงทุนรายใหญ่ตั้งนอมินีมารับซื้อหุ้นที่ขายด้วยบัญชี Margin หรือ การกู้เงินบริษัทหลักทรัพย์มาซื้อหุ้นในมูลค่ารวมที่สูงกว่า 4,500 ล้านบาท 

ก่อนที่จะไม่มีเงิน หรือ หลักทรัพย์พอที่จะจ่ายค่าหุ้นจนเป็นเหตุให้โบรกเกอร์ “ฝั่งซื้อ” ประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง และขาดทุนตามมาด้วยผิดนัดชำระค่าหุ้นจนทำร้ายหลายแห่ง ท้ายที่สุด บล.เอเชีย เวลท์ ซึ่งแอบนำเงินลูกค้าไปจ่ายค่าหุ้น MORE นำไปสู่การร้องเรียนจนมีคำสั่งของ ก.ล.ต. ให้เพิกถอนใบอนุญาตจนท้ายที่สุด บล. เอเชียเวลท์ ต้องปิดดำเนินกิจการ

*** ตามต่อมาด้วยการทุจริตครั้งใหญ่ที่สุดของตลาดหุ้นไทย ในกรณีของ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ซึ่งขอเลื่อนส่งงบการเงินถึง 3 ครั้ง โดยให้เหตุผลว่า ข้อมูลบางส่วนอยู่ระหว่างการดำเนินงาน 

พร้อมกันนั้น ยังมีกรรมการและผู้บริหารหลายคนทยอยลาออก จนต่อมาตรวจพบว่า มีการทุจริตตกแต่งบัญชี รวมไปถึงมีการแจ้งและรายงานข้อมูลอันเป็นเท็จต่อตลาดฯ ทั้งที่ทั้งที่บริษัทแห่งนี้ ได้รับการตรวจบัญชีจาก บริษัท บริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ สอบบัญชี จำกัด (Deloitte Touche Tohmatsu) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ตรวจสอบบัญชีระดับ Big 4 ที่ได้รับการรับรอง โดยความเสียหายที่เกิดจาก STARK มีมูลค่ามหาศาล...โดยเฉพาะเจ้าหนี้ และผู้ถือหุ้นเสียหายหนักมาก เบื้องต้นประเมินความเสียหายที่เกิดจากหุ้นเพิ่มทุนและหุ้นกู้อาจจะสูงถึงแสนล้านบาททีเดียว 

*** ต่อมาก็คือ บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL บริษัทซึ่งมีปัญหาสภาพคล่องจนเป็นเหตุให้ผิดนัดชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ จนผู้แทนหุ้นกู้ส่งหนังสือให้ชำระหนี้หุ้นกู้มูลค่าราว 1,483 ล้านบาท โดยให้บริษัทชำระเงินต้นคงค้างทั้งหมด รวมถึงดอกเบี้ยที่ค้างชำระและดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราบวกเพิ่ม 2% จากอัตราดอกเบี้ยปกติ 

จนท้ายที่สุด ALL ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด และไม่สามารถที่จะแจ้งงบการเงินประจำไตรมาส 3/66 จนเป็นเหตุให้ ตลท. ขึ้นเครื่องหมาย SP เพื่อระงับการซื้อขายหุ้นบนกระดานมาตั้งแต่วันที่ 15 พฤษจิกายน เป็นต้นมา และจนมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่า ALL จะสามารถชำระหนี้หุ้นกู้ที่ยังคงค้างอยู่ได้เมื่อไหร่

*** ส่วนหุ้นฉาวส่งท้ายปี 2566 และจะลากยาวไปจนถึงปี 2567 ก็คือ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ JKN ของผู้บริหารสาวข้ามเพศที่ติดโผคนรวยระดับโลกอย่าง “แอน จักพงษ์” ซึ่งเริ่มต้นการ “ผิดชำระหนี้หุ้นกู้” ด้วยคำพูดสุดหรูว่าเป็นแค่การ “ปรับการชำระหุ้นกู้” ไม่ใช่การเบี้ยว หรือ ผิดนัดชำระหนี้แต่อย่างใด และพร้อมรับผิดชอบเต็มตัว 

แต่ในท้ายที่สุด JKN ก็ได้ยื่นคําร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง เป็นเหตุให้เกิดสภาวะการพักชําระหนี้ทั้งหมดของบริษัท (Automatic stay) ซึ่งรวมไปถึงหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยหุ้นกู้ของบริษัททุกรุ่น โดยที่มีกฎหมายคุ้มครองให้เจ้าหนี้ จะไม่สามารถทวงหนี้ใดจาก JKN ได้จนกว่าศาลฯ จะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากรณีของ JKN จะไม่ทำให้ ตลท. มีคำสั่งหยุดพักการซื้อขายหุ้น แต่เรื่องนี้นี้ก็ส่งผลกระทบต่อนักลงทุนจำนวนมาก เนื่องจากราคาหุ้นของ JKN ที่เดิมที่เคยเคลื่อนไหวอยู่ที่ 2.50-3.00 บาท/หุ้น ขาดความเดดชื่อมั่นจนปรับราคาลงมาต่ำกว่า 0.50 บาทในปัจจุบัน

*** ท้ายที่สุดเป็นเรื่อง Short Sell ซึ่งนักวิเคราะห์รวมไปถึงนักลงทุนลงหลายราย ต่างมองว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยตกต่ำลงอย่างหนักเนื่องจากนักลงทุนในประเทศเสียเปรียบเป็นอย่างมาก ซึ่งมุมมองนี้กลับสวนทางกับมุมมองและข้อมูลที่ผู้บริหารของ ตลท. ที่พยายามชี้แจงว่า ไม่มีการทำ Short Sale หรือ Naked Short ลามไปจนถึงกับมองว่า ที่ลือกันไปนั้นเป็นเพียงเรื่องที่ “เม่า” จินตนาการไปเอง

จนกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมาผู้บริหารของ บมจ. สบาย เทคโนโลยี หรือ SABUY ได้ยื่นหนังสือต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และเข้าพบ รมว.ยุติธรรม เพื่อขอความเป็นธรรมเนื่องจากสงสัยว่ามีการทำ Naked Short Sell ในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย.66 ซึ่งทำให้ราคาหุ้น SABUY เกิดความผันผวนอย่างมาก หลังจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ยืนยันว่าไม่พบธุรกรรม Naked Short Selling 

หมายความว่า ไม่ใช่แค่นักวิเคราะห์ หรือ นักลงทุนเท่านั้น ที่สงสัยว่า Short Sale หรือ Naked Short กำลังเป็นตัวสร้างปัญหา เพราะชัดเจนแล้วว่า แม้แต่เจ้าของหุ้นเองก็ยังสงสัยตนเองกำลังเป็นผู้ถูกกระทำจากกรณีของการทำ Naked Short แม้ตลาดฯ จะไม่ให้ความสนใจ...หรือสงสัยอะไรเลยก็ตาม 

เจ๊เมาธ์เชื่อว่ากรณี Short Sale หรือ Naked Short ยังจะต้องถูกลากยาวต่อไปอีกนาน เพราะแม้ว่าความจริงจะมีเพียงหนึ่งเดียว ...แต่หากยังคุยกันไม่รู้เรื่อง หรือ คุยกันคนละภาษาเช่นนี้ต่อไป เรื่องนี้ก็คงจะจบลงไม่ได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ