KEY
POINTS
เมืองไทยกำลังร้อนขึ้น และไม่ใช่แค่เรื่องอุณหภูมิ
เมื่อพูดถึงความร้อนของเมืองไทย หลายคนอาจนึกถึงแดดแรงและอากาศที่แห้งแล้งขึ้นเรื่อยๆ แต่เบื้องหลังคลื่นความร้อนที่เพิ่มขึ้น คือความจริงที่ว่า พื้นที่สีเขียวในเมืองไทยกำลังลดลงอย่างน่าเป็นห่วง ในขณะที่อัตราการเติบโตของเมืองขยายตัวรวดเร็วเกินกว่าระบบนิเวศจะตั้งตัวทัน
จากข้อมูลปี 2564 กรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรถึงร้อยละ 20 ของทั้งประเทศ แต่พื้นที่สีเขียวเฉลี่ยต่อคนในกรุงเทพฯ กลับมีเพียง 3.54 ตารางเมตร หากรวมประชากรแฝงเข้าไป ตัวเลขจะตกลงเหลือแค่ 2.3 ตารางเมตรต่อคน ห่างไกลจากมาตรฐานองค์การอนามัยโลกที่แนะนำไว้อย่างน้อย 9 ตารางเมตรต่อคนถึงเกือบ 4 เท่า [1]
ตัวเลขนี้ไม่ได้เป็นเพียงสถิติ แต่คือภาพสะท้อนของความเหลื่อมล้ำทางสิ่งแวดล้อมในเมืองหลวง เขตศูนย์กลางธุรกิจอย่างปทุมวันมีพื้นที่สีเขียวเฉลี่ย 13.8 ตารางเมตรต่อคน แต่บางเขตอย่างบางนา ลาดกระบัง หรือวังทองหลางกลับไม่มีพื้นที่สีเขียวสาธารณะให้เข้าถึงเลย [2]
พื้นที่สีเขียว: มากกว่าความสวยงาม คือปัจจัยชี้วัดคุณภาพชีวิต
พื้นที่สีเขียวไม่ใช่แค่ "ความสวยงาม" ของเมือง แต่คือ พื้นที่หายใจ พื้นที่ผ่อนคลาย และพื้นที่ลดมลพิษ ทั้งอากาศ เสียง และความร้อน การศึกษาในหลายประเทศชี้ตรงกันว่า พื้นที่สีเขียวช่วยลดความเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และ ภาวะซึมเศร้าได้จริง [3]
ในเชิงสิ่งแวดล้อม ต้นไม้และพืชพรรณ คือ ด่านแรกในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สร้างสมดุลในระบบนิเวศ และกลายเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตหลากหลายสายพันธุ์ แต่สิ่งเหล่านี้กำลังถูกเบียดบังด้วยตึกสูง คอนโด และห้างสรรพสินค้า โดยไม่มีพื้นที่กันชนให้ธรรมชาติได้ตั้งหลัก
กรุงเทพฯ ประกาศแผน Green Bangkok 2030 ตั้งเป้าจะเพิ่มพื้นที่สีเขียวสาธารณะให้ได้ 10 ตารางเมตรต่อคน และให้ประชาชนเข้าถึงสวนสาธารณะภายใน 15 นาที จากบ้านภายในปี 2573 ซึ่งเป็นหมุดหมายเวลาเดียวกับแผน Singapore Green Plan 2030 สิงคโปร์ ใช้แนวทาง “City in Nature” โดยเน้นพืชพรรณท้องถิ่นจริงๆ มากกว่าการจัดแต่งสวน
รัฐบาลยังลงทุนในการวิจัยและออกแบบเมืองเพื่อป้องกัน Urban Heat Island อย่างมีประสิทธิภาพ และปรับปรุงอาคารให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยกสิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนท้องถิ่นพร้อมงบประมาณอุดหนุน 50 ล้านดอลล่าร์สิงคโปร์ (SG Eco Fund) [4] ให้ร่วมกันสร้างพื้นที่สีเขียวแบบป่าธรรมชาติ (Naturalized park)
แต่อุปสรรคของไทยกลับหนีไม่พ้นงบประมาณในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวที่ไม่เพียงพอ ยังไม่นับระบบบริหารแบบรวมศูนย์ยังไม่เอื้อต่อการมีส่วนร่วมโดยประชาชนในพื้นที่
จะเดินหน้าอย่างไรในบริบทไทย?
เมื่อการพัฒนาพื้นที่สีเขียวกลายเป็นมูลค่าที่ดิน ที่ไม่จูงใจทางเศรษฐกิจ วิธีที่อาจใช้ได้ คือ การสร้างแรงจูงใจผ่านการลดหย่อนภาษีที่ดิน สำหรับผู้ที่เปิดพื้นที่ส่วนตัวเป็นพื้นที่สีเขียวสาธารณะ หรือเก็บภาษีที่ดินว่างเปล่าในอัตราก้าวหน้า (รวมถึงที่ดินรัฐด้วยเช่นกัน) เพื่อนำมาพัฒนาพื้นที่สีเขียวร่วมกัน หรือการให้ทุนสนับสนุนระดับท้องถิ่นอย่างที่สิงคโปร์ กำลังทำ
แม้แต่การจ้างงานประชาชนในพื้นที่ในการดูแลแบบผัดเวรอย่างที่เห็นได้ในญี่ปุ่น แต่ไม่ว่าจะจูงใจด้วยวิธีใดๆก็ตาม การสำรวจ "ความเต็มใจที่จะจ่าย/สนับสนุน" (Willingness to Pay/support) ของประชาชนในแต่ละเมืองย่อมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อรับรู้ว่า ประชาชนให้คุณค่าแก่พื้นที่สีเขียวมากน้อยเพียงใด จึงจะกำหนดยุทธศาสตร์ได้ตรงจุดยิ่งขึ้น
การประเมินนี้จำเป็นต้องมีงานวิจัยรองรับ ซึ่งต้องคำนวณควบคู่ไปกับผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการเพิ่มพื้นที่สีเขียว เช่น หากความหนาแน่นของพื้นที่สีเขียวเพิ่มขึ้น 1 ตารางเมตรต่อคน จะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายเท่าใด ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมดีขึ้นเพียงใด และจะช่วยประหยัดค่ารักษาพยาบาลทั้งในระดับบุคคลและระดับสาธารณสุขได้มากน้อยแค่ไหน
ทั้งนี้ งานวิจัยจำเป็นต้องทำแยกเป็นรายเมือง เพราะราคาที่ดินและค่าครองชีพแตกต่างกัน ทำให้ระดับความเต็มใจจ่ายไม่เท่ากัน งานวิจัยอาจเริ่มต้นจากพื้นที่หนาแน่นเช่นกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อหาค่า WTP ที่ใช้ในการออกแบบกลยุทธอย่างเหมาะสม [5]
เสนอแนวทางประเมิน “Willingness to Pay” พื้นที่สีเขียวอย่างเหมาะสม
• ประเมิน WTP โดยเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ที่ได้ เช่น หากความหนาแน่นของพื้นที่สีเขียวในเมืองเพิ่มขึ้น 1 ตารางเมตรต่อคน จะมีต้นทุนด้านการลงทุนและการบำรุงรักษาเท่าใด ไม่ว่าจะเป็นค่าจัดซื้อที่ดิน ค่าก่อสร้างสวน ค่าดูแลรักษา หรือค่าบุคลากร ขณะเดียวกัน ยังต้องพิจารณาว่าการเพิ่มพื้นที่สีเขียวดังกล่าวส่งผลเชิงบวกต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง (ทั้งการลดค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคทางเดินหายใจ ลดความเครียด และลดความเสี่ยงจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง)
ตลอดจนช่วยประหยัดค่ารักษาพยาบาลโดยรวมได้มากน้อยเพียงใด พิจารณาประโยชน์ทั้งในระดับบุคคล เช่น การลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลส่วนตัว และ ในระดับสาธารณะ คือการช่วยลดภาระงบประมาณด้านสาธารณสุขของรัฐจากโรคและปัญหาสุขภาพที่ลดลง
• ศึกษาลอจิสติกส์เชิงพื้นที่ว่าต้นทุนที่ดินและค่าครองชีพที่แตกต่างกันในแต่ละเมือง ทำให้ระดับ WTP ไม่เท่ากันแค่ไหน งานวิจัยจึงควรถูกออกแบบให้แยกเป็นรายเมืองเหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ และสร้างสมดุลระหว่าง ความเป็นธรรมต่อครัวเรือน กับ ความเพียงพอของรายได้หากบางพื้นที่จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่ต้องมากพอที่จะใช้ลงทุนและบำรุงรักษาพื้นที่สีเขียวได้อย่างยั่งยืน
เมื่อธรรมชาติไม่ใช่แค่ต้นไม้ แต่เป็นอนาคตของเมือง
คำถามที่เราต้องตอบกันวันนี้คือ เราพร้อมหรือยังที่จะมองพื้นที่สีเขียวไม่ใช่แค่สวนสวยริมถนน แต่คือ โครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพ สภาพอากาศ และคุณภาพชีวิต? หากคำตอบคือใช่ เมืองไทยต้องเริ่มลงมืออย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้ ไม่ใช่แค่ตั้งเป้าสูง แต่ต้องวางรากให้มั่น เพื่อให้คำว่า "ยั่งยืน" ไม่ใช่เพียงสโลแกน แต่กลายเป็นความจริงที่จับต้องได้
อ้างอิง:
[1] World Bank. (2015). Urbanization in Thailand is dominated by the Bangkok urban area. Accessed 3 July 2024 from
https://www.worldbank.org/en/news/feature/2015/01/26/urbanization-in-thailand-is-dominated-by-the-bangkok-urban-area
[2] Jiratchaya Chaichumkhun. (2022). เบื้องหลังปัญหาพื้นที่สีเขียวในเมืองกรุง ที่ กทม.ไม่ได้บอก. สืบค้นจาก https://thematter.co/bkk65/problem-of-green-space-in-bkk/174780 (เข้าถึงเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2567)
[3] Paoin, K., Pharino, C., Phosri, A., Ueda, K., Seposo, X. T., Kelly, M., ... & Sleigh, A. (2023). Association between greenness and cardiovascular risk factors: Results from a large cohort study in Thailand. Environmental research, 220, 115215.
[4] https://outlook.stpi.niar.org.tw/pdfview/4b11410077f5fe40017815aae7911f75
[5] Paoin, K., & Pharino, C. (2024). Outlooks and Challenges for Urban Green Space Development: A Review Case Study in Thailand. Applied Environmental Research, 46(3).
คอลัมน์เศรษฐเสวนา จุฬาฯ ทัศนะ โดย... ดร.คณวัฒน์ เปาอินทร์, ดร.ชานนท์ ทองไท คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย