สถานดูแลผู้สูงวัย ที่มีคุณภาพระดับโลกที่ปลอดภัยและมีศักดิ์ศรีในไทย

07 พ.ย. 2568 | 22:00 น.

สถานดูแลผู้สูงวัย ที่มีคุณภาพระดับโลกที่ปลอดภัยและมีศักดิ์ศรีในไทย คอลัมน์ ชีวิตบั้นปลายของชายชรา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

KEY

POINTS

  • สถานดูแลผู้สูงวัยที่มีคุณภาพระดับโลกใช้มาตรฐาน JCI และ ISO เป็นเครื่องรับรองด้านความปลอดภัยและคุณภาพชีวิต
  • มาตรฐานสากลเน้นความปลอดภัยของผู้สูงอายุเป็นหลัก ผ่านระบบป้องกันการพลัดตกหกล้ม การจัดการยาอย่างรัดกุม และการระบุตัวตนที่แม่นยำ
  • การดูแลที่ได้มาตรฐานจะเคารพศักดิ์ศรีของผู้สูงอายุ โดยมุ่งเน้นการดูแลเฉพาะบุคคล (Resident-Centered Care) และให้ความสำคัญกับสิทธิในการตัดสินใจ

สังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุค Supper Ageing Society หรือสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ อย่างรวดเร็ว ทำให้การดูแลบุพการีที่รัก จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการที่จะรักษาพยาบาลยามเจ็บป่วยเท่านั้น แต่ต้องมีการวางแผนระยะยาว เพื่อให้พวกท่านได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีคุณภาพ มีความสุข และที่สำคัญที่สุดคือ ความปลอดภัย ในฐานะลูกหลานหรือผู้ดูแล การตัดสินใจเลือก “บ้านหลังที่สอง” หรือสถานดูแลที่มีคุณภาพนั้น อาจจะเต็มไปด้วยความกังวลใจ หลายคนอาจคุ้นเคยกับ JCI (Joint Commission International) ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลก ที่ใช้ในการรับรองมาตรฐานคุณภาพของโรงพยาบาลมาบ้าง แต่ทราบหรือไม่ว่า JCI ยังมีโปรแกรมการรับรองมาตรฐานเฉพาะสำหรับสถานดูแลระยะยาว (Long Term Care) หรือมาตรฐานของสถาบัน ISO 9001โดยเฉพาะบ้านพักคนวัยเกษียณ ซึ่งก็เปรียบเสมือน “ตราประทับ” ที่รับรองว่าสถานที่นั้น ๆ ได้ลงทุนในระบบที่มุ่งเน้นความปลอดภัยและศักดิ์ศรีของผู้สูงอายุอย่างแท้จริง

แก่นแท้ของการรับรองมาตรฐาน JCI และISO ที่ทุกครอบครัวยังมีผู้สูงวัยอาศัยอยู่ สำหรับในอนาคตเราควรทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจ เพื่อเลือกสถานดูแลผู้หลักผู้ใหญ่ของเราครับ อย่างแรกเลยควรดูว่าสถานที่นั้น ๆ มี “ความปลอดภัยระดับ 5 ดาว” หรือเปล่า แก่นแท้ของ JCI และ ISO ที่ผู้สูงอายุได้รับในสถานดูแลระยะยาว คือ “ความปลอดภัย” เพราะรากฐานที่สำคัญที่สุด JCI ใช้หลักการความปลอดภัยสากลที่เรียกว่า International Patient Safety Goals (IPSG) มาประยุกต์ใช้ เพื่อลดความเสี่ยงที่อันตรายถึงชีวิต ซึ่งเป็นปัญหาคลาสสิกของผู้สูงอายุ

สำหรับผู้สูงอายุ “การพลัดตกหกล้ม” ก็เป็นสิ่งที่สำหรับผู้สูงวัยควรจะต้องให้ความสำคัญในการระมัดระวัง เพราะอาจนำไปสู่กระดูกหัก พิการ หรือแม้กระทั่งเสียชีวิตได้ ในมาตรฐาน JCI ได้กำหนดให้สถานดูแล ต้องมีระบบที่เข้มงวดในการจัดการความเสี่ยงนี้ (มาตรฐาน FMS และ IPSG) นอกจากนี้ยังต้องมีการประเมินเฉพาะบุคคลด้วย ผู้สูงอายุทุกคนจะได้รับการประเมินความเสี่ยงหกล้ม ตั้งแต่วันแรกที่เข้าพัก และมีการทบทวนซ้ำอย่างสม่ำเสมอ

ต่อมาคือการปรับสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ที่ต้องได้รับการออกแบบให้ปลอดภัยสูงสุด เช่น มีราวจับในห้องน้ำที่ได้มาตรฐาน การใช้สัญญาณเตือนภัยฉุกเฉิน พื้นผิวที่ไม่ลื่น และแสงสว่างที่เหมาะสม เพื่อปกป้องความปลอดภัยให้แก่ผู้สูงวัย นี่คืออีกหนึ่งในมาตรฐานของ JCI และ ISO ครับ

อีกหนึ่งมาตรฐานที่ JCI และ ISO ต้องมี คือโปรแกรมการออกกำลังกาย สำหรับผู้สูงวัย ต้องมีการจัดกิจกรรมที่ช่วยฝึกความสมดุล และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เพื่อลดโอกาสหกล้มอย่างแท้จริงครับ นอกจากนี้ยังต้องมีการตรวจดูยารักษาโรคที่ผู้สูงวัยต้องได้ใช้ในการดูแลด้านสุขภาพ แน่นอนว่าคนแก่อย่างพวกเรา ยิ่งแก่มักจะต้องมียาสารพัดขนาน ดังนั้นเพื่อป้องกัน “ยาตีกัน” เมื่อทานยาเยอะเกินไป หรือผู้สูงวัยส่วนใหญ่มักจะมีโรคเรื้อรังหลายโรค จนต้องใช้ยาหลายชนิดพร้อมกัน (Polypharmacy) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของความคลาดเคลื่อนทางยา (Medication Errors) และปฏิกิริยาระหว่างยา (Drug Interaction) จึงต้องมีการทบทวนรายการยา (Medication Reconciliation) นี่คือหัวใจสำคัญของมาตรฐาน JCI และ ISO เลยก็ว่าได้ครับ ดังนั้นทุกครั้งที่ผู้สูงวัยจะเข้ามาพัก หรือย้ายสถานพยาบาล บุคลากรต้องทำการตรวจสอบ และเปรียบเทียบรายการยาเดิมกับยาใหม่ทั้งหมดอย่างละเอียด เพื่อป้องกันการใช้ยาซ้ำซ้อน การขาดยา หรือการให้ยาที่ออกฤทธิ์ขัดแย้งกัน

มาตรฐานอีกหนึ่ง คือ การจัดเก็บและบริหารยาอย่างถูกต้อง โดยต้องมีระบบที่ชัดเจนในการเก็บยา การจ่ายยา และการบริหารยาโดยบุคลากรที่ได้รับการฝึกฝน และการให้ข้อมูลยาแก่ผู้สูงอายุและครอบครัวอย่างเข้าใจ เพื่อสามารถระบุตัวตนที่แม่นยำ 100% แม้ว่าเรื่องนี้จะดูเป็นเรื่องพื้นฐาน แต่การระบุตัวตนผิดพลาด ก็สามารถนำไปสู่การให้ยาผิด หรือการรักษาที่ผิดคน ทางมาตรฐาน JCI และ ISO จึงกำหนดให้ต้องมีการระบุตัวตนผู้รับบริการด้วยอย่างน้อย 2 วิธี เช่น ชื่อ-นามสกุล และวันเดือนปีเกิด หรือหมายเลขผู้รับบริการ ก่อนที่จะให้ยา ทำหัตถการ หรือให้บริการใด ๆ ดังนั้นเรามักจะเห็นมีการเรียกชื่อของผู้สูงวัย ก่อนที่จะให้ยารักษาโรคทุกครั้งเสมอ

ในสถานดูแลผู้สูงวัย หรือในบ้านพักคนวัยเกษียณ ความแตกต่างที่ชัดเจนของสถานดูแลที่มีมาตรฐาน JCI และ ISO คือการมองผู้สูงอายุเป็น “ผู้รับบริการ (Resident)” ไม่ใช่เป็น “ผู้ป่วย (Patient)” เป้าหมายจึงไม่ใช่แค่การรักษาอาการป่วย แต่คือการส่งเสริมคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อจะทำให้ผู้สูงวัยมีชีวิตในบั้นปลายอย่างมีความสุข โดยมีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี

หัวใจของการดูแลเฉพาะบุคคล (Resident-Centered Care) มาตรฐาน JCI และ ISO ได้มาการกำหนดให้การดูแล ต้องเน้นที่ความต้องการส่วนบุคคล (Individualized Care) โดยผ่านกระบวนการหลัก ๆ คือ การประเมินที่ครบมิติ (AN) โดยมีการประเมินไม่ได้มีแค่สุขภาพกาย แต่รวมถึงความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน (ADL) ภาวะโภชนาการ สุขภาพจิต สภาวะทางอารมณ์ ความต้องการทางสังคม และแม้กระทั่งความต้องการทางจิตวิญญาณ การประเมินที่ครบถ้วนนี้จะนำไปสู่การสร้างเสริมสุขภาพที่ดีนั่นเอง

นอกจากนี้ยังมีการวางแผนการดูแลเฉพาะบุคคล สถานดูแลที่มีมาตรฐาน JCI และ ISO จะต้องจัดทำแผนการดูแล ที่ไม่เหมือนกันสำหรับผู้สูงอายุแต่ละท่าน ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุยังคงความสามารถ และศักดิ์ศรีของตนเองไว้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงสิทธิในการตัดสินใจ และการมีส่วนร่วม (IR) โดยผู้สูงวัยและครอบครัว มีสิทธิอย่างเต็มที่ในการรับทราบข้อมูล การเข้าร่วมการตัดสินใจด้านการดูแล (Informed Consent) การเคารพในทางเลือกของผู้สูงอายุ รวมถึงสิทธิในการมีชีวิตส่วนตัวและได้รับการปกป้องจากการถูกทำร้ายหรือละเลย

นอกจากนี้สถานดูแลจะต้องมีการประสานงานที่มีประสิทธิภาพ ตามมาตรฐานของ JCI และ ISO ที่กำหนดให้สถานดูแลดังกล่าว จะต้องมีกระบวนการที่ชัดเจน ในการประสานงานการดูแล ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผู้สูงอายุต้องถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล หรือย้ายกลับบ้าน ข้อมูลสำคัญ เช่น ประวัติการแพ้ยา ประวัติการรักษาล่าสุด และรายการยาที่ใช้ จะต้องถูกส่งต่ออย่างสมบูรณ์และทันเวลา เพื่อให้การดูแลต่อเนื่องไม่ขาดตอน นี่คือขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่สถานดูแลผู้สูงวัยควรจะต้องมีครับ

เบื้องหลังสิ่งที่สถานดูแลต้องมี ก่อนที่จะได้รับประกันคุณภาพจาก JCI และ ISOแน่นอนว่าไม่ได้มาจากการทำความสะอาดครั้งเดียว แต่มาจากการสร้าง “ระบบ” และ “วัฒนธรรม” ในองค์กร ซึ่งต้องใช้การลงทุนที่สูงและต่อเนื่อง อีกทั้งบุคลากรในการให้บริการต้องเพียงพอและเหมาะสม โดยสถานดูแลต้องพิสูจน์ได้ว่า มีจำนวนบุคลากรที่เพียงพอต่อความต้องการของผู้สูงอายุ และบุคลากรแต่ละคนได้รับการฝึกอบรมที่เหมาะสมตามบทบาทของตนเอง อีกทั้งต้องมีการฝึกอบรมที่ต่อเนื่อง มีการจัดการฝึกอบรมความรู้และทักษะอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในเรื่องความปลอดภัย การควบคุมการติดเชื้อ การดูแลภาวะฉุกเฉินต่าง ๆ และการรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ สถานดูแลต้องมีระบบที่สนับสนุนให้บุคลากรกล้าที่จะพูด กล้าที่จะรายงานข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น โดยไม่กลัวว่าจะถูกลงโทษ เพื่อให้องค์กรสามารถนำไปวิเคราะห์รากเหง้าของปัญหา และป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำขึ้นมาอีกนั่นเอง

ในยุคที่ตลาดสถานดูแลผู้สูงอายุเติบโตอย่างรวดเร็ว มาตรฐาน JCI หรือมาตรฐาน ISO ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างแบรนด์ แต่เป็น “คำมั่นสัญญา” ที่สถานดูแลมอบให้กับผู้สูงวัยและครอบครัว ดังนั้นเมื่อลูกหลานหรือตัวผู้สูงวัยเอง จะพิจารณาเลือกสถานดูแลให้คนที่คุณรัก การมองหาตราประทับ JCI หรือ ISO โดยการสอบถามว่าสถานที่นั้น ๆ ใช้มาตรฐานระดับโลกใดในการปฏิบัติงาน จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่า ผู้สูงวัยจะได้รับการดูแลภายใต้ระบบที่ได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ที่มุ่งเน้นความปลอดภัย และเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริงครับ