สโตรก อันตรายที่ควรใส่ใจ

30 ส.ค. 2568 | 01:20 น.
อัปเดตล่าสุด :30 ส.ค. 2568 | 01:28 น.

สโตรก อันตรายที่ควรใส่ใจ คอลัมน์ ชีวิตบั้นปลายของชายชรา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

KEY

POINTS

  • โรคหลอดเลือดสมอง (สโตรก) มีอาการแสดงที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับบริเวณสมองที่ได้รับผลกระทบ เช่น แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด มีปัญหาการมองเห็น หรือการทรงตัว
  • สามารถสังเกตอาการเบื้องต้นของโรคสโตรกได้ด้วยหลักการ F.A.S.T. คือ ใบหน้าเบี้ยว (Face) แขนอ่อนแรง (Arms) พูดไม่ชัด (Speech) และต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที (Time)

สองอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้เล่าถึงอาการโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน (Stroke) ที่ผู้จัดการของผมต้องเผชิญอยู่ ยังคงต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูอีกสักสองเดือน น่าจะกลับมาเป็นปกติได้ เพราะทางเราได้ใช้ทั้งยาแผนปัจจุบัน กายภาพบำบัด และแพทย์แผนจีนให้มาช่วยฝังเข็มให้ อาการก็ดีวันดีคืนขึ้นมาบ้างแล้ว เชื่อว่าอีกไม่น่าจะเกินสองเดือน ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อนก็จะสามารถกลับคืนมาได้แน่ ๆ แต่จะกลับคืนได้สักกี่เปอร์เซ็นต์ เราคงไม่สามารถบอกได้ครับ แต่ต้องขอขอบพระคุณเพื่อน ๆ ที่รู้จักกับท่าน ที่อุตส่าห์มาเยี่ยมถึงที่ครับ

อันที่จริงอาการสโตรกที่ผมเคยเล่าให้ฟัง จะมีทั้งหลอดเลือดตีบตันและหลอดเลือดในสมองแตก ซึ่งจะเป็นได้ในหลาย ๆ จุดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสมองซีกซ้าย(ซึ่งผู้จัดการผมเป็นอยู่)และสมองซีกขวา แกนสมอง สมองกลีบหน้า สมองกลีบข้าง สมองกลีบท้ายทอย และสมองกลีบขมับ ซึ่งแต่ละจุดของสมอง หากมีอาการสโตรกก็จะมีอาการที่แตกต่างกันออกไป เช่น ถ้าสมองกลีบหน้า (Frontal Lobe)ด้านขวา จะทำหน้าที่ในการควบคุมการเคลื่อนไหว การคิดวางแผน บุคลิกภาพ อาการที่พบเห็น แขน-ขาอ่อนแรง (ฝั่งตรงข้าม) พูดไม่ได้ (Broca’s Aphasia) ถ้าเกิดสมองด้านซ้าย บุคลิกเปลี่ยน เฉยเมย หุนหันพลันแล่น เป็นต้น

สมองกลีบข้าง (Parietal Lobe) ทำหน้าที่ควบคุมความรู้สึก และการรับรู้ตำแหน่งอาการที่พบเห็นก็คือ จะมีอาการชา สูญเสียการรับรู้ความรู้สึก (ซีกตรงข้าม) ไม่รู้ตำแหน่งของแขนขาตัวเอง (Neglect) โดยเฉพาะถ้าเกิดด้านขวา ปัญหาในการคำนวณ อ่าน เขียน สมองกลีบท้ายทอย (Occipital Lobe) ก็จะส่งผลต่อการควบคุมการมองเห็นอาการที่พบคือ ตาบอดครึ่งซีก ( เช่น มองไม่เห็นด้านซ้ายหรือขวา) มองเห็นภาพผิดเพี้ยน ส่วนสมองกลีบขมับ (Temporal Lobe) จะส่งผลต่อการควบคุมการได้ยิน ความจำ ภาษา อาการที่พบเห็นก็คือ หูหนวกบางข้าง หรือการแปลความหมายเสียงผิดความจำเสื่อม ถ้าเกิดด้านซ้าย ก็จะฟังเข้าใจแต่พูดไม่รู้เรื่อง (Wernicke’s Aphasia)

ในส่วนของก้านสมอง (Brainstem) จะส่งผลให้ระบบการควบคุมการหายใจ การกลืนอาหาร การเคลื่อนไหวของตาได้ยากลำบากครับ อาการที่พบเห็นก็จะมีอาการเวียนหัว บ้านหมุน นี่ก็เป็นไปได้เช่นกันครับ นอกจากนี้ยังทำให้ การกลืนอาหารลำบาก และพูดไม่ชัด แขน-ขาอ่อนแรงทั้งสองข้าง หมดสติ หรือถึงขั้นหยุดหายใจได้ครับ

ส่วนสมองน้อย (Cerebellum) จะส่งผลให้ควบคุมการทรงตัว และการประสานงานจะสูญเสียไป บางคนถึงกับเดินเป๋ไปเลยครับ อีกอาการหนึ่งที่พบเห็น คือ บ้านหมุน เวียนหัวมาก เดินเซ ทรงตัวไม่ได้ คลื่นไส้อาเจียนรุนแรง อย่างไรก็ตาม การที่รู้สึกว่าบ้านหมุน ก็ไม่ใช่ว่าสาเหตุจะเกิดจากสโตรกเสมอไป ส่วนใหญ่คนที่มีอาการบ้านหมุน สาเหตุอาจจะเกิดจาก หูชั้นใน เช่น หินปูนหลุด น้ำในหูไม่เท่ากัน ก็เป็นไปได้สูงมาก เพราะฉะนั้นอย่าได้เหมารวมว่าบ้านหมุนแล้วจะเกิดจากสโตรกนะครับ

บางคนอาจจะมีคำถามว่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า คนใกล้ชิดเราหรือญาติผู้ใหญ่(คนแก่ที่บ้าน)เกิดอาการสโตรกกินสะแล้วละ? ก็มีวิธีการสังเกตง่าย ๆ อยู่สองวิธี คือ F.A.S.T. และ S.T.R. ซึ่งจำง่าย ๆ ว่า S.ก็หมายถึงให้ผู้ป่วย “ยิ้ม” (Smile) ถ้ามุมปากตกข้างหนึ่ง แสดงถึงกล้ามเนื้อใบหน้าซีกนั้นอ่อนแรง ส่วน T.ก็หมายถึงให้ผู้ป่วยทดลอง “พูด” (Talk)ดู โดยให้พูดประโยคง่าย ๆ ถ้าพูดไม่ชัด พูดไม่เป็นคำ หรือไม่เข้าใจ อาจมีปัญหาภาษาหรือสมอง นี่ก็จะเป็นเครื่องบอกเหตุว่า น่าจะมีอาการของสโตรกเบื้องต้นแล้วละครับ สุดท้ายก็คือ ตัว R. ซึ่งหมายถึงการยกแขน (Raise hands) วิธีการทดสอบคือให้ผู้สูงอายุทดลองยกแขนสองข้างดู ถ้ายกแขนซ้ายหรือแขนขวาดู แล้วยกไม่ขึ้นหรือแขนตกลง แสดงว่าแขนข้างนั้นอ่อนแรง ซึ่งถ้าหากเราพบเห็นผู้สูงวัยมีอาการดังกล่าว นั่นก็แสดงว่าน่าจะมีปัญหาหลอดเลือดสมองหรือสโตรกเกิดขึ้นแล้วครับ

อย่างไรก็ตาม วิธีการเช็คด้วย S.T.R. ทางการแพทย์อาจจะยังไม่เป็นที่ยอมรับ เราเองก็สามารถนำมาตรวจเช็กเบื้องต้นดูก่อนเท่านั้น เพื่อความไม่ประมาทได้ แต่ส่วนตัวผมคิดว่า น่าจะช่วยตรวจเช็กได้บ้าง หรืออาจจะลองดูอีกหนึ่งวิธีง่าย ๆ นั่นก็คือวิธี F.A.S.T.ซึ่งเป็นตัวย่อจากภาษาอังกฤษใช้จำง่าย ๆ เพื่อช่วยให้คนทั่วไปตรวจสอบเบื้องต้นว่า คนใกล้ชิดหรือผู้สูงวัย(คนแก่ในบ้าน) ที่อาจกำลังมีอาการสโตรก โดยสังเกตดูจาก “ใบหน้า” หรือ Face (F.) วิธีสังเกตง่าย ๆ คือให้ผู้ป่วยยิ้ม หรือแสดงสีหน้า ถ้าพบว่ามีอาการมุมปากตกข้างหนึ่ง หรือ ใบหน้าเบี้ยว นั่นก็จะเป็นสัญญาณของกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง ต่อมา ก็คือ “แขน” หรือArms (A) วิธีการทดสอบคือ ให้ผู้ป่วยยกแขนทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกัน ถ้าแขนข้างใดข้างหนึ่งยกไม่ขึ้น หรือ ตกลงมา ก็แสดงว่ากล้ามเนื้อแขนอ่อนแรง ตัวต่อมาก็คือ “การพูด” หรือ Speech (S) โดยให้ผู้ป่วยทดลองพูดประโยคสั้น ๆ ที่ง่าย เช่น “วันนี้อากาศดีนะครับ” ถ้าพูดไม่ชัด พูดติดขัด พูดไม่เป็นคำ หรือฟังแล้วไม่เข้าใจ นั่นก็เป็นอีกสัญญาณผิดปกติของสมองส่วนภาษาแล้วละครับ สุดท้าย ถ้าเราพบอาการผิดปกติของผู้สูงวัยดังที่กล่าวมาทั้งหมด คำต่อมาที่มีความหมายมากที่สุด นั่นก็คือ “เวลา” หรือ Time (T) ซึ่งสำคัญที่สุด เพราะต้องรีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลทันที ถ้าหากให้การรักษาให้ทันเวลา ด้วยยาละลายลิ่มเลือด หรือวิธีอื่น ๆ ภายในช่วงเวลาทอง (Golden period) ภายใน 4-5 ชั่วโมงแรก โอกาสที่จะรอดพ้นจากอาการสโตรก ก็จะมีสูงมากครับ

อาทิตย์นี้ เราเอาแค่วิธีการสังเกตดูอาการของผู้สูงวัยที่ใกล้ตัวเรา อาทิตย์หน้าผมจะเล่าถึงอาการคนที่ใกล้ชิดผมคนหนึ่ง ที่เป็นน้องที่ผมรักมาก ๆ ได้เกิดอาการสโตรกกะทันหัน จนต้องจากโลกนี้ไปครับ พบกันใหม่อาทิตย์หน้าครับ