KEY
POINTS
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา มีเพื่อนท่านหนึ่งมาหาผมที่บริษัท เราไม่ได้ติดต่อกันมาหลายเดือน เพราะไลน์เก่าผมถูกระงับการใช้งานมากว่าสามเดือนแล้ว วันนั้นเขาขับรถผ่านมาที่หน้าบริษัทของผม เขาจึงแวะมาดูว่าผมยังคงอยู่ดีมีสุขหรือเปล่า? พอพบหน้ากันสิ่งที่ผมสังเกตุเห็น คือเขาผอมลงไปเยอะมาก น้ำหนักน่าจะหายไปสิบกว่ากิโลกรัม ผมจึงสอบถามไปว่า ช่วงนี้สบายดีหรือเปล่า? เขาก็บอกว่าช่วงที่หายไป เขาได้ไปผ่าตัดบายพาสหัวใจมา เพราะหลอดเลือดหัวใจตีบตันไปสามเส้น ที่ทำให้รู้ตัวว่าตนเองมีอาการผิดปกติ ก็เพราะปกติเดินขึ้นบันไดบ้านสามชั้นได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่จู่ๆมีอยู่วันหนึ่ง เขาเดินขึ้นไปแค่ชั้นสอง ก็เหนื่อยหอบมาก เหมือนหายใจไม่ทัน อีกทั้งยังมีอาการจุกหน้าอก เขาจึงรีบบอกให้ลูกสาวพาไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล แพทย์ตรวจเสร็จรีบส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดเชือดเลย เขากล่าวติดตลกว่า “ตอนนี้เราสบายตัวแล้ว น้ำหนักหายไปสิบกว่ากิโล ดีเหมือนกันเพราะก่อนผ่าตัด พยายามลดน้ำหนักเท่าไหร่ก็ไม่ยอมลง แค่ไปหลับตาในห้องผ่าตัดไม่กี่ชั่วโมง ออกมาผอมลงทันที”
ผมจึงได้สอบถามเพื่อนไปว่า ปกติมีการตรวจร่างกายประจำปีบ้างหรือเปล่า? เขาก็บอกว่า ปกติก็ตรวจอยู่นะ แต่บางปีลืมก็ไม่ได้ไปตรวจ ผมจึงแนะนำไปว่า ปัจจุบันนี้มีเครื่องมือตรวจร่างกายตนเองแบบพกพาเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นในรูปนาฬิกา หรือในรูปของเครื่องมือเล็กๆแบบพกพา ไม่ว่าจะเป็นการตรวจความดันโลหิต ตรวจน้ำตาลในกระแสเลือด ฯลฯ ถ้าไม่สะดวกก็เจียดเงินค่าเหล้ายาปลาปิ้งเล็กน้อย เพื่อซื้อหามาใช้บ้างก็ดีนะ! เพราะเครื่องมือเหล่านี้มีขายกันเกร่อไปหมด ราคาก็แค่ทานสุกี้หนึ่งมื้อแค่นั้นเองครับ
มีเครื่องมืออีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจ อยากให้เพื่อนหาซื้อมาใช้บ้าง ก็คือ เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ(ECG)แบบพกพา เขาก็บอกว่า เขาไม่เข้าใจการทำงานของหัวใจด้วยกราฟไฟฟ้าหรอก เพราะอ่านค่าไม่ออก เออ...ก็จริงนะ เพราะการอ่านค่าย่อมมีแต่ผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์เท่านั้นแหละที่พอจะอ่านรู้เรื่อง คนธรรมดาที่แก่ๆหัวขาวอย่างพวกเรา ย่อมไม่สามารถอ่านได้ แต่ปัจจุบันนี้ก็มีเครื่องมือบางชนิด ที่มีการทำการวิเคราะห์ผล(Summary analysis Report) ที่แปลเป็ภาษาไทยแบบง่ายๆอยู่หลายยี่ห้อ เพียงพอที่จะเข้าใจถึงภาวะร่างกายในปัจจุบันของเรา ถ้าเห็นว่าผิดปกติก็ควรทำตัวให้เป็น “กระต่ายตื่นตูม”ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลได้เลย จะได้ไม่ต้องลดน้ำหนักแบบเพื่อนผมครับ
อย่าไรก็ตาม ถ้าหากเราจะเรียนรู้ด้วยตนเองไว้ป้องกันตัวบ้าง ก็ไม่เสียหายอะไรนะครับ เพราะการตรวจคลื่นไฟฟ้าของหัวใจ (Electrocardiogram หรือ ECG/EKG)ถ้าหากเรามีเครื่องมือแบบพกพาไว้ใช้ที่บ้าน ก็ไม่เสียหายอะไรครับ เพราะการตรวจ ECG เป็นหนึ่งในวิธีการตรวจสุขภาพหัวใจที่สำคัญที่สุด ทำได้ง่าย รวดเร็ว และไม่เจ็บตัวด้วย การตรวจนี้เป็นการบันทึกคลื่นไฟฟ้า ที่เกิดขึ้นจากการทำงานของหัวใจในแต่ละจังหวะ เพื่อให้แพทย์(ถ้าเราอ่านกราฟเป็นก็อ่านเองได้)สามารถวินิจฉัยความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ การตรวจ ECG เปรียบเสมือนการถ่ายรูปการทำงานของหัวใจจากหลายๆมุมมอง ได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที ซึ่งในปัจจุบันนี้มีทั้งแบบ 2 Lead และแบบ 6 Lead ซึ่งผมต้องขออนุญาตเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ เผื่อท่านใดอยากซื้อหามาใช้นะครับ
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า เจ้าเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ECG คืออะไรและบอกอะไรเราได้บ้าง? หัวใจของเราทุกคนจะมีการปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมา เพื่อกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวและคลายตัวอย่างสม่ำเสมอ เครื่อง ECG จะใช้ขั้วไฟฟ้า (Electrode) ที่ติดบนผิวหนังของเรา เพื่อจับสัญญาณไฟฟ้าเหล่านี้ และแปลงออกมาเป็นกราฟคลื่นบนหน้าจอหรือกระดาษ ที่เรียกว่า “คลื่นไฟฟ้าหัวใจ” ภาพจากกราฟนี้แพทย์สามารถนำมาวิเคราะห์ข้อมูลที่สำคัญ เกี่ยวกับการทำงานของหัวใจได้หลายอย่าง เช่น อัตราและจังหวะการเต้น หัวใจเต้นเร็วไปหรือช้าไป หรือเต้นไม่สม่ำเสมอหรือไม่? ความเสียหายของกล้ามเนื้อหัวใจ เช่น เคยมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบตันหรือไม่? ขนาดของกล้ามเนื้อหัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจมีขนาดใหญ่กว่าปกติหรือไม่? หรือความผิดปกติของเกลือแร่ เช่น ระดับเกลือแร่ในร่างกายมีความผิดปกติหรือไม่? อาการต่างๆเหล่านี้เป็นต้น
ปัจจุบันนี้มีเครื่องมือแบบพกพา ที่ขั้นตอนการตรวจ ECG ง่ายและรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงไม่ถึง 5 นาทีก็สามารถเสร็จสิ้นกระบวนการได้แล้วครับ เริ่มจากการเตรียมตัว ผู้เฒ่าผู้แก่อย่างเรา จะใช้วิธีการตรวจแบบนอนราบลงบนเตียง หรือนั่งเอนตัวแบบสบายๆ แล้วแต่เครื่องเขาออกแบบมาก็ได้ จากนั้นก็ควรใส่เสื้อผ้าที่เปิดบริเวณหน้าอกได้ง่าย จากนั้นก็เริ่มด้วยการติดขั้วไฟฟ้า ในแบบพกพาเขาจะมีแผ่นติดที่มากับเครื่อง หรือแบบที่ต้องซื้อหามาติดเองที่ติดแผ่นขั้วไฟฟ้า (มักจะเป็นสติกเกอร์) แล้วจึงนำแผ่นดังกล่าวมาติดบริเวณหน้าอก บางเครื่องก็ติดสองจุด บางเครื่องก็ติดสามจุด จากนั้นก็เปิดเครื่องทำงาน เครื่องก็จะทำการบันทึกสัญญาณไฟฟ้าหัวใจ ขณะที่ผู้เข้ารับการตรวจจะนั่งหรือจะนอนนิ่งๆ เมื่อได้ภาพออกมา ถ้าหากอ่านเองรู้เรื่องก็อ่านการวิเคราะห์ผลด้วยตนเอง ถ้าอ่านไม่เป็นก็ส่งต่อภาพไปให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ ท่านจะได้นำกราฟที่ได้ไปแปลผลเพื่อวินิจฉัยโรคต่อไปครับ
บางคนอาจจะถามว่า ประเภทของการตรวจ ECG 12 Lead และ 6 Lead แตกต่างกันอย่างไร? มีความชัดเจนหรือแม่นยำต่างกันมั้ย? ต้องบอกว่าการตรวจ ECG มีหลายประเภท ซึ่งแต่ละแบบมีวัตถุประสงค์และข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป เช่น การตรวจ 12 Lead เป็นมาตรฐานที่ดีที่สุดสำหรับการวินิจฉัย เพราะเป็นการตรวจที่ใช้กันมากในโรงพยาบาลและคลินิกทั่วไป 12 Lead หมายถึงการตรวจจาก 12 มุมมองที่แตกต่างกัน โดยใช้ขั้วไฟฟ้า 10 จุดที่ติดบนแขน ขา และหน้าอก ข้อดีของการตรวจแบบนี้ คือผลที่ได้จะให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและละเอียดที่สุด สามารถวินิจฉัยความผิดปกติของหัวใจได้หลากหลาย เช่น ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ขนาดของกล้ามเนื้อหัวใจที่โตผิดปกติ และความผิดปกติของจังหวะการเต้นของหัวใจที่ซับซ้อน ซึ่งต้องบอกว่าการตรวจ 12 Lead เป็นเครื่องมือหลักของแพทย์ในการวินิจฉัยโรคหัวใจ เราๆท่านๆก็ไม่จำเป็นต้องใช้ขนาดนั้นก็ได้ครับ
ส่วนการตรวจแบบ 6 Lead เป็นทางเลือกใหม่สำหรับการคัดกรอง การทำงานของเครื่องมือแบบพกพา ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบันครับ เครื่องแบบ 6 Lead นี้ จะบันทึกสัญญาณไฟฟ้าจาก 6 มุมมอง โดยส่วนใหญ่จะใช้การวัดจากขั้วไฟฟ้าที่ติดอยู่ที่ตัวเครื่อง ซึ่งผู้ใช้สามารถวางนิ้วหรือตัวเครื่องไว้บนร่างกาย เพื่อบันทึกสัญญาณได้เลย ข้อดีคือ สะดวกและใช้งานง่าย ผู้เฒ่าผู้แก่หรือผู้ป่วยสามารถใช้ตรวจที่บ้านได้ด้วยตัวเอง เหมาะสำหรับการคัดกรอง ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งในการตรวจหาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ที่เกิดขึ้นเป็นช่วงๆ เช่น ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation หรือ AFib) ซึ่งอาจตรวจไม่พบในการทำ ECG ที่โรงพยาบาลเพียงครั้งเดียว หรือการเฝ้าระวัง ที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถติดตามอาการของตนเอง และส่งข้อมูลให้แพทย์ดูได้ครับ
อย่างไรก็ตามก็มีข้อจำกัด เช่น ไม่สามารถทดแทน 12 Lead ได้ทั้งหมด เนื่องจากขาดมุมมองจากขั้วไฟฟ้าที่หน้าอกบางจุด จึงไม่สามารถให้ข้อมูลที่ละเอียดพอสำหรับการวินิจฉัยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือความผิดปกติที่ซับซ้อนอื่นๆ ได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นถ้าเราตรวจเองแล้วพบอาการผิดปกติ ก็ควรต้องรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเท่านั้น ห้ามทำนายผลเองนะครับ เพราะถ้าเกิดมีปัญหาจริงๆ เดี๋ยวอาจจะต้องไปพบพระอินทร์ก่อนจะได้พบแพทย์นะครับ