KEY
POINTS
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ได้มีกลุ่มนักศึกษาโครงการพิเศษด้านสาธารณสุขจากมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ มาดูงานที่สถานบ้านพักคนวัยเกษียณ “คัยโกเฮ้าส์” ของผม ผมได้เปิดวิดีโอของผู้พักอาศัยของเราท่านหนึ่ง ซึ่งในอดีตท่านเคยเป็นผู้ป่วยติดเตียงมานานถึง 3 ปี ทำให้เคยสูญเสียกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว สาเหตุเกิดจากโรคหลอดเลือดสมอง(โรค Stroke) จนกระทั้งไม่สามารถเดินเองได้อีก ต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา กินได้น้อยลง และไม่ค่อยได้เคลื่อนไหว และเพียงไม่กี่เดือนผ่านไป ขาและแขนข้างซ้ายของเขา ก็เริ่มลีบลงอย่างเห็นได้ชัด ผลที่ตามมาคือเป็นแผลกดทับ เริ่มหายใจตื้น และมีภาวะกลืนลำบากร่วมด้วย เมื่อคุณแม่ของเขาตัดสินใจส่งตัวมาอยู่ที่เรา ทางทีมงานเริ่มทำการส่งตัวให้แพทย์ได้ตรวจร่างกาย แพทย์วินิจฉัยว่ามีอาการแทรกซ้อน คือมีภาวะกล้ามเนื้อลีบระดับรุนแรง (High-Grade Sarcopenia) ซึ่งเกิดจากการขาดการเคลื่อนไหว และได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ (ในปัจจุบันนี้ประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มีภาวะ Sarcopenia อยู่ระหว่าง 10–20% (ข้อมูลจาก Cruz-Jentoft et al., Age and Ageing, 2019) ในกลุ่มผู้สูงอายุที่อยู่ในสถานพักฟื้นหรือติดเตียง จะพบโรคภาวะ Sarcopenia สูงถึง 30–50% เลยทีเดียว (ตามข้อมูลจาก International Working Group on Sarcopenia, 2011) ในขณะที่กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคไต เบาหวาน หรือโรคมะเร็ง อาจมีโอกาสเกิด High-grade Sarcopenia หรือโรคภาวะกล้ามเนื้อลีบระดับรุนแรงได้มากกว่าคนที่ปกติ) สำหรับตัวเขาแม้จะสามารถกลับมาเดินได้ด้วยไม้เท้าแล้ว แต่ความสามารถในการเดินของเขาก็ได้เพียง 60-70% เท่านั้นครับ
โรคภาวะกล้ามเนื้อฝ่อลีบในผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายหลายประการ ซึ่งก็ย่อมเกิดขึ้นตามธรรมชาติ หนึ่งในปัญหาสำคัญที่พบมาก แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย คือโรค Sarcopenia หรือโรคภาวะกล้ามเนื้อฝ่อลีบในผู้สูงวัย ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ความสามารถในการเคลื่อนไหว และเพิ่มความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม การทุพพลภาพ และแม้กระทั่งการเสียชีวิต ลักษณะและอาการของโรค Sarcopenia จะมีลักษณะเด่นๆอยู่ 3 ประการ ได้แก่ กล้ามเนื้อลีบและอ่อนแรง สังเกตได้จากความสามารถในการยืน เดิน หรือถือของลดลง อีกประการหนึ่งคือประสิทธิภาพในการทำกิจวัตรประจำวันลดลง เช่นการขึ้นลง-บันไดหรือการลุกขึ้นจากเก้าอี้ยากขึ้น และสุดท้ายคืออาการเสี่ยงต่อการหกล้มและกระดูกหักเพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากระบบประสาท และกล้ามเนื้อทำงานประสานกันน้อยลงนั่นเองครับ นอกจากนี้บางรายอาจมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆร่วม เช่น น้ำหนักลดโดยไม่ตั้งใจ เหนื่อยง่าย หรือรู้สึกไม่มีกำลังตลอดเวลาครับ
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรค Sarcopenia เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ได้แก่ อายุที่เพิ่มขึ้น ระบบเผาผลาญและฮอร์โมนต่างๆลดลง ทำให้การสร้างกล้ามเนื้อลดลงตามไปด้วย หรือเกิดจากการไม่ออกกำลังกาย การขาดการเคลื่อนไหว เช่น การนอนอยู่กับที่นานๆ หรือใช้ชีวิตแบบนั่งๆนอนๆ หรือสาเหตุที่ผู้สูงวัยได้รับโภชนาการที่ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะโปรตีนและวิตามินดี เป็นต้น อีกสาเหตุหนึ่งคือเกิดจากโรคเรื้อรังที่ไม่ติดต่อ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ หรือโรคมะเร็ง บางท่านก็อาจจะเกิดจากโรคหลอดเลือดในสมองหรือโรคสโตรก(Stroke) เหมือนอย่างเคสที่ผมได้กล่าวมาข้างต้น นอกจากนี้ยังมีสาเหตุที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรังในร่างกาย ซึ่งกระทบต่อการซ่อมแซมและสร้างกล้ามเนื้อใหม่ จนทำให้เกิดอาการของโรคภาวะกล้ามเนื้อฝ่อลีบได้เช่นกันครับ
หลักการวินิจฉัยและการประเมินโรค Sarcopenia ที่แพทย์ท่านมักจะนำมาใช้วินิจฉัย ตามหลักขององค์กร European Working Group on Sarcopenia in Older People (EWGSOP) ได้กำหนดแนวทางในการวินิจฉัย โดยใช้เกณฑ์ของการวัดกำลังของกล้ามเนื้อ เช่น การบีบมือ หรือการวัดปริมาณมวลกล้ามเนื้อ ด้วยวิธี DXA (Dualenergy X-ray Absorptiometry) หรือ BIA (Bioelectrical Impedance Analysis) หรือประเมินสมรรถภาพทางกาย เช่น ความเร็วในการเดิน ซึ่งหากแพทย์พบว่าผู้สูงวัยมีทั้งกำลังกล้ามเนื้อลดลง และมวลกล้ามเนื้อลดลง ร่วมกับความสามารถในการเคลื่อนไหวต่ำ จะถือว่าเข้าข่ายเป็นโรค Sarcopenia อย่างชัดเจนละครับ
แม้ว่าโรค Sarcopenia จะสัมพันธ์กับอายุ แต่ก็สามารถป้องกันและชะลอการเสื่อมของกล้ามเนื้อได้ โดยแนวทางสำคัญๆ เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเน้นการฝึกกล้ามเนื้อด้วยแรงต้าน (Resistance Exercise) อย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์รวมถึงกิจกรรมเสริมสร้างสมรรถภาพหัวใจ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยานอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ผู้สูงวัยควรจะได้รับโภชนาการที่เหมาะสม เช่น รับประทานโปรตีนอย่างเพียงพอ เช่น 1.0-1.5 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน หรือได้รับอาหารเสริม เช่น วิตามินดีหากมีความจำเป็น อย่างไรก็ตาม ควรเป็นไปตามที่แพทย์สั่งหรือตามคำแนะนำของนักโภชนาการก็จะดีที่สุดครับ
โรค Sarcopenia แม้ไม่ใช่โรคที่พบเฉพาะเจาะจง แต่เป็นภาวะที่มีผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัย หากไม่ได้รับการป้องกันหรือดูแลอย่างเหมาะสม จะนำไปสู่ภาวะพึ่งพิงและการเจ็บป่วยอื่นๆได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตามการรักษาแบบองค์รวม ที่เน้นทั้งการออกกำลังกาย โภชนาการ และการดูแลจิตใจ จะช่วยให้ผู้สูงวัยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพต่อไป จะเห็นได้ว่าโรคภาวะกล้ามเนื้อลีบ หรือโรค Sarcopeniaไม่เพียงทำให้กล้ามเนื้อหายไป แต่ยังทำให้คนคนหนึ่งสูญเสีย “อิสรภาพ” ในการใช้ชีวิตไปด้วย ยิ่งนานวัน กล้ามเนื้อที่ไม่ถูกใช้งานก็ยิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่นอนติดเตียง ดังนั้นการดูแลอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก หากผู้สูงวัยหรือใครในครอบครัวของเรา เริ่มมีลักษณะของกล้ามเนื้ออ่อนแรง จนทำให้เคลื่อนไหวไม่ถนัด หรือพักรักษาตัวอยู่บนเตียงนานเกินควร อย่าได้รอให้กล้ามเนื้อหายไปจนสายเกินแก้ ควรรีบให้การดูแลเรื่องอาหารและการเคลื่อนไหว หรือรีบนำตัวไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล เพื่อรับคำแนะนำโดยทันทีนะครับ
เอกสารอ้างอิง