เมื่อวันที่ 13 ที่ผ่านมา ผมได้ไปร่วมงานสัมมนา “ระนอง เทรดทาวน์” (Ranong Trad Twon) ที่จังหวัดระนอง ซึ่งจัดโดยกระทรวงพาณิชย์และการท่าเรือแห่งประเทศไทย ร่วมกับภาคเอกชนหลายฝ่าย ในการสัมมนาครั้งนี้ได้รับฟังเรื่องราวของการเชื่อมโยงการท่าเรือจิตตะกอง ซึ่งมีการเซ็น MOU ของทั้งสามฝ่ายคือไทย บังกลาเทศและเมียนมา เข้ามาร่วมพัฒนาเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศภายใต้กรอบความร่วมมือ BIMSTEC (สมาชิกประกอบด้วย บังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย เมียนมา เนปาล ศรีลังกาและไทย รวม 7 ประเทศ) ด้วยการกระตุ้นการค้า-การลงทุน และเพิ่มขีดความสามารถด้านโลจิสติกส์เข้าสู่มหาสมุทรอินเดียครับ นับว่าเป็นที่น่าจับตามองอย่างมาก วันนี้ผมจึงอยากนำมาเล่าสู่กันฟังครับ
ประเทศบังกลาเทศที่คนไทยส่วนใหญ่ มักจะไม่ค่อยได้ทราบเรื่องราวของเขามากนัก เพราะไม่ใช่เป็นประเทศคู่ค้าใหญ่ของไทยเรา คนที่จะรู้จักก็มีเพียงกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ ที่ได้เข้าไปทำการค้าร่วมกับเขาท่านั้น ผมเองก็มีลูกค้าผู้สูงวัยชาวบังกลาเทศ ที่ท่านเข้ามารักษาตัวยังโรงพยาบาลในประเทศไทย หลังการรักษาแล้วเสร็จ จะต้องพักฟื้นตัวในระยะยาว ท่านจึงขอเข้ามาพักฟื้นที่ผม อีกทั้งตัวผมเองก็ชอบดู YouTube ที่มีคนจีนคนหนึ่ง ที่เข้าไปถ่ายทำรายการ เรื่องความเป็นอยู่ของชาวบังกลาเทศแล้วนำมาโพสต์ จึงพอจะเห็นภาพของความเป็นอยู่ในบังกลาเทศบ้าง นอกจากนี้ผมสนใจดูวิธีการผ่าเรือ (Ship Breaking) จึงสนใจท่าเรือจิตตะกองเป็นพิเศษครับ
ถ้าเราพูดถึงบังกลาเทศ ส่วนใหญ่จะทราบแต่เมืองหลวงของเขา นั่นคือเมืองธากา และอีกเมืองหนึ่งคือเมืองจิตตะกอง ที่มีการท่าเรือที่สำคัญที่สุดของประเทศบังกลาเทศเท่านั้นครับ ท่าเรือจิตตะกอง (ปัจจุบันคือท่าเรือจัตโทแกรม) ในประเทศบังกลาเทศ ซึ่งจิตตะกองไม่ใช่เป็นแค่ท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดและคึกคักที่สุดของประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางการค้า สำคัญที่กำลังจะเชื่อมโยงกับประเทศไทย โดยในอนาคตจะมีการเดินเรือผ่านท่าเรือระนอง เพื่อสร้างเส้นทางโลจิสติกส์ใหม่ที่น่าจับตาในภูมิภาคนี้ อีกทั้งยังเป็นหัวใจเศรษฐกิจของบังกลาเทศ เพราะจะเป็นจุดที่จะนำสินค้าส่งออก-นำเข้าที่มีศักยภาพ เพื่อเชื่อมโยงกลุ่มประเทศในกรอบความร่วมมือ BISTEC ครับ
ท่าเรือจิตตะกอง ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำกรรณผลี (Karnaphuli River) ที่เป็นแม่น้ำสายสำคัญที่สุด และยังทำหน้าที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจของบังกลาเทศ โดยรองรับปริมาณการค้าระหว่างประเทศถึง 90% ของบังกลาเทศ ท่าเรือแห่งนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และมีแผนการลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถอย่างต่อเนื่อง
สินค้าที่มีศักยภาพสูงของบังกลาเทศ ได้แก่ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งบังกลาเทศเป็นผู้ส่งออกเครื่องนุ่งห่มรายใหญ่อันดับสองของโลก การขนส่งวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง สินค้าที่มีความสำคัญอันดับสอง คือผลิตภัณฑ์เครื่องหนังและรองเท้า อุตสาหกรรมนี้กำลังเติบโตและมีศักยภาพในการส่งออก นอกจากนี้ยังมีสินค้าประมง โดยเฉพาะกุ้งและปลาแช่แข็ง มีความต้องการสูงในตลาดโลก
นอกจากนี้ยังมียารักษาโรคบางชนิดและเวชภัณฑ์ ต้องยอมรับว่าบังกลาเทศเป็นผู้ผลิตยาและเวชภัณฑ์ ที่สำคัญในภูมิภาคนี้ เนื่องด้วยราคาของยาและเวชภัณฑ์ จะถูกตั้งราคาให้สอดคล้องกับรายได้ประชากรต่อคนต่อหัว จึงทำให้ราคาเป็นแรงผลักดันให้มีกำลังซื้อจากภายนอกเข้ามาสู่บังกลาเทศนั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีสินค้าเกษตรบางชนิด เช่น ปอกระเจา และผลิตภัณฑ์จากปอกระเจา ซึ่งในอดีตไทยเราครองตลาดอยู่ เราจะเห็นโรงงานทอกระสอบที่อยู่ในแถบอีสาน โดยเฉพาะที่โคราชบ้านเกิดผม แต่ปัจจุบันนี้โรงงานทอกระสอบได้ปิดสนิทไปนานมากแล้ว เพราะกระสอบพลาสติกหรือที่เราเรียกว่า “ถุงปุ๋ย” เข้ามาทดแทนการใช้กระสอบที่ทอจากปอกระเจ้า หรือเรียกว่า “กระสอบป่าน” เป็นที่เรียบร้อยครับ สินค้าอีกตัวหนึ่งที่เป็นสินค้าสำคัญของบังกลาเทศ นั่นคือ “เศษเหล็กจากการผ่าเรือ” (Ship Breaking Scrap) บังกลาเทศ เป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำของโลกในอุตสาหกรรมผ่าเรือเก่า เพื่อนำเศษเหล็กและวัสดุอื่นๆกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศ เพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศ และมียังศักยภาพในการส่งออกไปยังต่างประเทศอีกด้วยครับ
ในขณะที่สินค้าที่มีศักยภาพสูงของประเทศไทย สำหรับตลาดบังกลาเทศ และเป็นที่ต้องการของชาวบังกลาเทศก็มีมากมาย ตัวอย่างเช่น สินค้าเกษตรและอาหารแปรรูป โดยเฉพาะบะหมี่สำเร็จรูป ผลไม้สดและแปรรูป อาหารฮาลาล (ที่บังกลาเทศมีความต้องการสูงเพราะเป็นประเทศมุสลิม) เนื่องจากไทยมีชื่อเสียงด้านคุณภาพและราคาปานกลาง
อีกประเภทหนึ่งคือ ชิ้นส่วนยานยนต์และอุปกรณ์ บังกลาเทศมีการนำเข้าชิ้นส่วนเหล่านี้ เพื่อประกอบในประเทศ ยังมีเครื่องจักรกลและอุปกรณ์อุตสาหกรรม สำหรับรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมในบังกลาเทศ อีกประเภทหนึ่งคือสินค้าบริการ เช่น การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ซึ่งปัจจุบันนี้ได้มีผู้ป่วยจากบังกลาเทศ เดินทางเข้ามารักษาในประเทศไทยมากพอสมควรเลยครับ เหตุผลที่ทำให้การแพทย์ของไทยเราเป็นที่ยอมรับของชาวบังกลาเทศ เป็นเพราะเทคโนโลยี่ทางการแพทย์ไทย มีความล้ำสมัยมากในภูมิภาคนี้ อีกทั้งสนนราคาค่ารักษา ยังพอที่จะยอมรับได้ครับ
ดังนั้นหากเราสามารถปลดล็อกการค้าไทย-บังกลาเทศได้ ก็จะเป็นการเพิ่มมูลค่าการค้าให้แก่ไทย-บังกลาเทศอย่างมากมายทีเดียว แต่ในปัจจุบันนี้ การค้ายังคงใช้ช่องทางการเดินเรือผ่านช่องแคบมะละกาผ่านมาทางสิงคโปร์อยู่ ถ้าเราสามารถเปิดเส้นทางใหม่ โดยความร่วมมือระหว่าง ท่าเรือระนองของไทยและท่าเรือจิตตะกองของบังกลาเทศ ก็จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการค้าของทั้งสองประเทศ โดยการเปิดเส้นทางการเดินเรือโดยตรง ซึ่งจะช่วยลดเวลาและต้นทุนการขนส่งจาก 7-15 วัน เหลือเพียง 3-5 วัน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ประกอบการได้อีกด้วยครับ
ถ้าหากเราเปิดประตูฝั่งมหาสมุทรอินเดียได้ดังที่กล่าวมา ผมเชื่อว่าประเทศเมียนมาก็จะเข้ามามีบทบาทของในโครงข่ายโลจิสติกส์ภูมิภาคได้ แม้ว่าเมียนมาจะไม่ได้เป็นผู้เล่นหลักโดยตรงในเส้นทางเดินเรือระนอง-จิตตะกอง แต่ก็มีบทบาทสำคัญในภาพรวมของโครงข่ายโลจิสติกส์ในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเป็น “ประตูสู่มหาสมุทรอินเดีย” ของไทย ซึ่งทั้งไทยและเมียนมาก็ต่างเป็นสมาชิกของ BIMSTEC ซึ่งก็จะสร้างอำนาจต่อรองให้แก่ทั้งสามประเทศบนเวทีโลกขึ้นได้ด้วยครับ
เราจะเห็นว่าในอนาคตความร่วมมือ ระหว่างท่าเรือระนองกับท่าเรือจิตตะกอง พร้อมด้วยการเชื่อมโยงกับเมียนมา ในโครงข่ายโลจิสติกส์ของภูมิภาค กำลังสร้างความหวังใหม่ ในการยกระดับการค้าและการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ ระหว่างเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะนำมาซึ่งประโยชน์มหาศาลต่อทั้งภูมิภาคในระยะยาว โดยมีสินค้าที่มีศักยภาพของแต่ละประเทศเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวไกลมากขึ้นครับ